โฆษณา

วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ทำไมถึงแท้งลูก

ว่าที่คุณแม่ส่วนใหญ่มักจะวิตกกังวลถึงความปลอดภัยของเด็กทารกในครรภ์รวมถึงกลัวว่าจะเกิดการแท้ง ซึ่งบ่อยครั้งการกังวลในเรื่องเหล่านี้จะทำให้เกิดความเครียดโดยไม่จำเป็น ซึ่งอัตราการแท้งลูกจะพบเพียงร้อยละ 10 ของการตั้งครรภ์เท่านั้น ซึ่งสาเหตุของการแท้งนั้นมีมากมาย แต่ทั้งหมดนั้นเราสามารถควบคุมและป้องกันการแท้งได้ค่ะ


ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการแท้งลูกได้แก่
เคยมีประวัติการใส่ห่วงอนามัยที่มีภาวะแทรกซ้อน
เคยแท้งลูกมาแล้วหลายครั้ง
มีความผิดหวัง เศร้าโศก อย่างรุนแรงจากปัญหาการงาน หรือชีวิตส่วนตัว
ได้รับอุบัติเหตุโดยตรงและได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง
ทำงานหนัก การยกของหนัก หรือการเล่นกีฬาที่ต้องใช้แรงมาก รวมถึงการอุ้มเด็กก็อาจจะส่งผลได้เช่นกัน
มีเพศสัมพันธ์ในช่วงตั้งครรภ์ และคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์มีประวัติเคยแท้งบ่อย
อาการที่บ่งบอกว่าเกิดภาวะการแท้งลูก
มีอาการปวดท้องน้อย มีเลือดสดออกทางช่องคลอด ไม่ว่าเลือดจะออกมาหรือน้อยเพียงใดก้ตาม ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง หรือปวดติดต่อกันหลาวัน
มีเลือดออกทางช่องคลอดเหมือนมีประจำเดือน หรือมีเลือดออกเล็กน้อยติดต่อกันนานเกิน 3 วัน
มีสิ่งขับออกทางช่องคลอดเป็นก้อนเลือด หรือชิ้นเนื้อสีชมพู แสดงว่าเริ่มมีอาการแท้งลูก ควรเก็บชิ้นส่วนนั้นแล้วรีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะบางครั้งชิ้นส่วนนั้นอาจเป็นตัวอ่อนที่ถูกขับออกมาก็ได้
การดูแลและป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการแท้งลูก
หากมีประวัติหรือมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะทำให้เกิดการแท้งลูก ควรบอกกับคุณหมอตั้งแต่เริ่มฝากครรภ์ เพื่อให้คุณหมอช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด
พยายามอย่าเครียด หรือหาวิธีคลายเครียดอย่างเหมาะสม อาจจะใช้การฟังเพลง, การนวดเพื่อผ่อนคลาย รวมถึงการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
หากต้องเจอกับปัญหาต่างๆ ทั้งจากที่ทำงาน หรือจากที่บ้าน ควรที่จะหาเวลาพักผ่อน หรือผ่อนคลายให้มาก โดยอาจจะพักการคิดถึงปัญหาเหล่านั้นก่อน หลังจากหายเครียดแล้วค่อยมาจัดการกับปัญหาใหม่ หรืออาจจะใช้การปรึกษากับคนใกล้ชิด เพื่อขอคำแนะนำหรือคอยช่วยแก้ปัญหาก็ได้
กินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบถ้วน เพื่อให้มีพละกำลังและได้รับสารอาหารที่เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตของทารก
หลบปัญหาเป็นครั้งคราว อย่าจมปลักอยู่กับปัญหา อาจมีการระบายความเครียดด้วยการพูดคุยกับเพื่อนหรือสามีถึงปัญหาต่างๆ ก็จะช่วยให้ระบายและลดความเครียด รวมถึงอาจจะช่วยกันแก้ไขปัญหาได้อีกด้วย
ไม่ควรอุ้มเด็กขณะตั้งครรภ์ เพราะนอกจากเป็นอันตายต่อเด็กในครรภ์แล้ว ยังมีผลต่อกระดูกสันหลังของคุณแม่ด้วย
ไปตามตารางนัดของคุณหมออย่างเคร่งครัด

อยากตั้งครรภ์แล้วแต่กินยาคุมกำเนิดมานานต้องเตรียมตัวอย่างไร

สำหรับผู้ที่เคยกินยาคุมกำเนิดมานาน เมื่อถึงเวลาที่พร้อมที่จะตั้งครรภ์นั้น หลายคนอาจจะส่งสัยว่า หลังจากหยุดกินยาคุมแล้ว สามารถปล่อยให้ตั้งครรภ์ได้เลยหรือไม่ แล้วกินยาคุมมานานจะมีผลอะไรกับการตั้งครรภ์ไหม หรือกินยาคุมมานานจะมีผลต่อทารกในครรภ์หรือไม่ วันนี้เรามีคำตอบค่ะ


ปล่อยให้ตั้งครรภ์หลังจากหยุดกินยาคุมกำเนิดได้หรือไม่
หลังจากที่คุณหยุดกินยาคุมกำเนิดแล้วยังไม่แนะนำให้ปล่อยให้ตั้งครรภ์ทันที ควรจะปล่อยให้ผ่านไปสัก 3 เดือนขึ้นไป ทั้งนี้ระหว่าง 3 เดือนนี้ก็ควรจะคุมกำเนิดด้วยวิธีการอื่นๆ แทน ซึ่งในช่วง 1-2 เดือนแรก คุณอาจจะไม่มีประจำเดือนก็ไม่ต้องตกใจนะค่ะเพราะคุณไม่ได้ตั้งครรภ์หรอกค่ะ เพียงแต่หลังจากหยุดกินยาคุมกำเนิดแล้ว ประจำเดือนอาจจะมาล่าช้ากว่าเดิม เมื่อประจำเดือนเริ่มมาเป็นปกติ (ประจำเดือนเริ่มมาเป็นปกติ 3 เดือนขึ้นไป) ค่อยปล่อยให้ตั้งครรภ์ตามธรรมชาติค่ะ ระหว่างนี้ก็คงต้องให้ว่าที่คุณพ่อมือใหม่คุมกำเนิดตัวเองไปก่อน (แนะนำว่าให้ใช้ถุงยางอนามัยไปก่อนช่วงนี้)

กินยาคุมกำเนิดมานานๆ จะตั้งครรภ์ยากจริงไหม
ถ้าเป็นการกินยาคุมกำเนิดสมัยก่อน หากกินนานๆ จะมีผลทำให้ผนังมดลูกบาง ทำให้การตั้งครรภ์ (การฝังตัวอ่อน) เป็นไปได้ยาก อันนี้จริงค่ะ แต่ถ้าเป็นยาคุมกำเนิดสมัยใหม่เดี๋ยวนี้ปัญหาแบบนี้ไม่เป็นแล้วค่ะ แต่หากคุณใช้ยาคุมฉุกเฉินบ่อย อันนี้มีผลต่อการตั้งครรภ์จริงค่ะ ดังนั้นหากคุณกินยาคุมกำเนิดแบบธรรมดา (21 หรือ 28 เม็ด) มานาน ก็ไม่ต้องกังวลไปนะค่ะว่าจะตั้งครรภ์ยาก

กินยาคุมกำเนิดมานานๆ จะมีผลต่อทารกในครรภ์ไหม
อันนี้เป็นอีกคำถามที่อยู่ในหัวของว่าที่คุณแม่มือใหม่ทุกคน และคงจะกังวลมากๆ เวลาที่จะเริ่มปล่อยให้ตั้งครรภ์ ความจริงแล้วการกินยาคุมกำเนิดนั้น หากเราหยุดกิน (หลังจากกินหมดแผงอย่างถูกต้อง) แล้วปล่อยระยะไว้ 3 เดือนขึ้นไป รอให้ประจำเดือนมาปรกติตามรอบเดือน แค่นี้ร่างกายของคุณก็พร้อมที่จะตั้งครรภ์แล้วค่ะ

ต้องเตรียมตัวอย่างไรเมื่อพร้อมจะตั้งครรภ์
อย่างที่บอกไปค่ะ หลังจากหยุดกินยาคุมแล้ว เมื่อพร้อมจะตั้งครรภ์ ให้ปล่อยให้ประจำเดือนมาก่อนสัก 3 เดือน จากนั้นค่อยให้ตั้งครรภ์ ส่วนเรื่องการเตรียมตัวก็เหมือนคนทั่วๆ ไปค่ะ คือ การออกกำลังกายให้พอเหมาะ นอนหลับพักผ่อนให้มาก กินอาหารให้ครบ ดื่มน้ำให้มาก และอย่าเครียด ที่เหลือก็อาจจะใช้เครื่องมือเข้าช่วย เช่น ชุดทดสอบวันตกไข่ (ทดสอบจากน้ำปัสสาวะ) หรือถ้าไม่อยากกังวลหรือเครียดขนาดนั้น ก็บอกว่าที่คุณพ่อให้ส่งการบ้านบ่อยๆ ก็ได้นะค่ะ

สรุปแล้ว ความเชื่อที่ว่ากินยาคุมกำเนิดมานานๆ จะตั้งครรภ์ยากนั้น ไม่ถูกต้องทีเดียวค่ะ ถ้าคุณกินยาคุมกำเนิดแบบปกติ ก็แค่หยุดรอให้ประจำเดือนมา 3 เดือนขึ้นไปแล้วค่อยปล่อยตามธรรมชาติ ส่วนความเชื่อที่ว่ากินยาคุมกำเนิดมานานๆ แล้วทารกในครรภ์จะพิการ สมองไม่ดี ฯลฯ อันนี้ก็ไม่เป็นความจริง ดังนั้นสบายใจได้ค่ะ

วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556

เรื่องหวานชื่นของลูกกับจุกนมหลอก

การเลี้ยงดูเจ้าตัวน้อยสำหรับ คุณแม่มือใหม่ อาจจะเปรียบเหมือนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เมื่อลูกร้องทีไร ก็ต้องตั้งสมมติฐานกันไว้ก่อนว่าลูกเป็นอะไร เมื่อคาดเดาได้รางๆ แล้วก็ต้องทำการทดลองดูสิว่าจะทำอย่างไรให้ลูกน้อยหยุดร้องไห้ ให้นมแล้วยังไม่หยุด ให้นมแล้วก็ยังคงร้องให้ สุดท้ายคุณแม่ใช้ไม้ตายที่ไม่เคยคิดว่าจะใช้ นั่นคือ หยิบจุกนมหลอก มาใส่ปากให้เจ้าตัวน้อยดูดเท่านั้นล่ะเสียงร้องไห้ก็หายไป เจ้าตัวเล็กสงบลง และดูจะถูกใจกับเจ้าจุกนมหลอกเอามากๆ เมื่อการทดลองประสบผลสำเร็จ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเจ้าตัวน้อยอยู่ที่ไหนเป็นต้องเห็นพี่จุกนมหลอกอยู่ เคียงข้าง โดยมีคุณแม่กังวลใจอยู่ไม่ห่างเช่นกัน



เรื่องทุกอย่างเหมือนเหรียญที่ย่อมมีสองด้าน จุกนมหลอกก็มีทั้งข้อเสียและข้อดีเช่นกัน ฉะนั้นก่อนที่คุณแม่จะปักใจเชื่อว่า ความรักของเจ้าตัวเล็กกับจุกนมหลอกเป็นรักต้องห้าม เรามาเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียกันก่อนดีกว่า





Good Bad
ช่วยให้เจ้าตัวน้อยหายงอแงได้ หากลูกติดจุกนมยางในช่วงเดือนแรกๆ อาจทำให้เกิดปัญหาต่อการเลี้ยงลูกด้วยนม
ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น เมื่อลูกหิว คุณแม่อาจให้ลูกดูดจุกนมยาง ขณะที่ไปเตรียมนมให้ลูก หรือ เบี่ยงเบนเมื่อลูกกำลังจะฉีดวัคซีน เจ้าตัวน้อยอาจตื่นมาร้องไห้กลางดึกบ่อยๆ หากดูดจุกนมยางจนหลับไป แล้วจุกนมยางหลุดออกจากปาก
ช่วยให้ลูกนอนหลับได้ง่ายขึ้น หนูน้อยอาจนอนหลับเองไม่ได้ หากไม่มีจุกนมยาง
มีงานวิจัยที่พบว่า การดูดจุกนมยางขณะหลับช่วยลดความเสี่ยงของภาวะไหลตายในเด็ก (SIDS) ได้ เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อที่หูชั้นกลาง อย่างไรก็ตาม สถิติการติดเชื้อที่หูในทารกนั้นมีไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับภาวะ SIDS
การติดจุกนมยางเลิกง่ายกว่าปล่อยให้ลูกติดดูดนิ้ว การติดจุกนมยางนานเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาทางทันตกรรมได้







จุกนมหลอก...เมื่อไรดี การให้ลูกได้ลองใช้จุกนมหลอกเร็วเกินไป หรือก่อนที่ลูกจะดูดนมแม่ได้คล่อง ย่อมทำให้เจ้าตัวเล็กเกิดภาวะสับสนหัวนม ซึ่งอาจส่งผลต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ ดังนั้นหากคุณคิดจะให้ลูกดูดจุกนมหลอกก็ควรจะรอให้ลูกดูดนมแม่ได้ดี และดูดนมแม่จนเป็นกิจวัตรได้เสียก่อน ซึ่งเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเริ่มให้ลูกดูดจุกนมหลอกก็คือ เมื่อหนูน้อยอายุ 1 เดือนขึ้นไป



จุกนมหลอกจำเป็นหรือไม่สำหรับทารก หากคุณพ่อคุณแม่เข้าใจว่าทารกจำเป็นจะต้องได้รับการปลอบประโลมและทำให้ รู้สึกอุ่นใจผ่อนคลาย จุกนมหลอกก็เป็นผู้ช่วยที่ดีทางหนึ่ง แต่เราขอแนะนำว่าให้เป็นทางเลือกท้ายๆ เมื่อคุณแม่ทำทุกวิธีแล้วลูกก็ยังคงงอแงอยู่จะดีกว่า



ติดจุกนมหลอกแล้ว เลิกยากหรือเปล่า เด็กๆ จะเลิกติดจุกนมหลอกได้เอง เมื่ออายุ 6-9 เดือน ซึ่งเป็นวัยที่หนูน้อยเริ่มคลานและหันไปสนใจสิ่งอื่นๆ แทน หากเห็นว่าลูกเริ่มไปสนใจสิ่งอื่นแล้ว ก็ควรหยุดที่จะหยิบยื่นจุกนมหลอกให้ลูกอีก อย่างไรก็ตามหนูน้อยยังอาจต้องการเจ้าจุกนมหลอกเป็นเพื่อนในเวลานอน แต่ทั้งนี้เด็กๆ จะเลิกดูดจุกนมหลอกโดยสิ้นเชิง เมื่ออายุ 2 ปีค่ะ



Pacifier Safety - หากคุณตกลงใจให้ลูกใช้จุกนมหลอกก็ควรดูแลเรื่องความสะอาดและปลอดภัยเป็นพิเศษด้วย



ควรล้างจุกนมอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง หรือเมื่อใดก็ตามที่ตกลงพื้นหรือสกปรก โดยล้างด้วยน้ำสะอาดและสบู่



ไม่ควรผูกเชือกหรือริบบิ้นยาวๆ ติดกับจุกนมหลอก แล้วแขวนคอ หรือผูกข้อมือลูกไว้ เพราะเชือกอาจรัดคอลูกได้



จุกนมหลอกที่ขาดหรือชำรุด ควรทิ้งทันที และควรเปลี่ยนจุกนมหลอกให้ลูกใหม่ทุกๆ 2 เดือน



หากลูกเริ่มเคี้ยวจุกนมหลอก คุณควรเปลี่ยนให้ลูกใช้ของเล่นยางที่ทำขึ้นมาสำหรับให้ทารกกัดแทน



เลือกซื้อจุกหลอกที่ทำจากวัสดุชิ้นเดียว และมีฝาปิดซึ่งมีรูเพื่อระบายอากาศด้วย

กินนมแม่แต่ยังท้องผูก

ทารกที่กินนมแม่ เมื่ออายุย่างเข้าเดือนที่2-3 มักไม่ถ่ายทุกวัน เพราะคุณอย่าลืมว่านมแม่มีกากน้อย และลูกกินนมแม่แล้วสามารถย่อยได้ดี จะมีกากอาหารเหลือเป็นอุจจาระนิ่มๆ จำนวนไม่มากจึงไม่ค่อยถ่ายบ่อยเหมือนในช่วงเดือนแรก



เนื่องจากในช่วงหลังเกิดน้ำนมแม่มีสารที่ทำให้ลำไส้บีบตัวเพื่อระบายของค้างในลำไส้ที่ทารกกลืน และหลั่งน้ำย่อยออกมาสะสมอยู่รวมเป็นของเหลวมีลักษณะเหนียวสีเทาๆ ที่เรียกกันว่า ขี้เทา ให้หมดไป เมื่อขี้เทาถูกระบายหมดแล้ว อุจจาระเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง เพราะนมแม่มีน้ำตาลแลคโทสสูง ย่อยไม่หมดถูกหมักโดยจุลินทรีย์เกิดเป็นกรดแลคติก ดึงน้ำไว้ในโพรงลำไส้ อุจจาระจึงเหลวมีฟองและมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ถ่ายบ่อย 6-8 ครั้งต่อวันหรือกินทีถ่ายที เมื่อได้รับนมแม่ระยะหนึ่ง กรดแลคติกจะกระตุ้นเซลล์เยื่อบุลำไส้เล็กของทารกทำให้เซลล์เยื่อบุลำไส้ของทารกเจริญเติบโตแข็งแรง ทำหน้าที่ดูดซึมได้ดีขึ้น อุจจาระจึงมีน้ำน้อยลงและเปลี่ยนลักษณะเป็นอุจจาระนิ่มและถ่ายน้อยครั้งลง

คนรอบข้างมักเฝ้าดูว่า วันนี้หนูน้อย อึ หรือยัง ถ้ายังก็เกิดความกังวลจนรีบสวนให้ และมักพบว่าอุจจาระที่ออกมาไม่ใช่อุจจาระเป็นก้อนแข็ง ถ่ายยากแบบคนท้องผูก ทารกเหล่านี้แม้ไม่ถ่าย 3 วัน ถ้าไม่มีอาการท้องอืดร้องแสดงความอึดอัดไม่สบายท้อง น่าจะรอให้ลูกหัดเบ่ง อึ เองมากกว่า ผลเสียของการสวนบ่อยๆ คือทำให้ลูกไม่ได้ฝึกการขับถ่ายด้วยตัวเอง เพราะการเบ่งอุจจาระเป็นการประสานการทำงานของหูรูดทวารหนัก กล้ามเนื้อกระบังลม กล้ามเนื้อหน้าท้อง กล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกรานที่เกาะจับที่ผนังทวารหนัก และหูรูดนอกของทวารหนัก

เพื่อให้เข้าใจได้ดีขึ้นขอบรรยายกระบวนการขับถ่ายดังนี้ เมื่อกากอาหารหรืออุจจาระลงไปในลำไส้ใหญ่ส่วนปลายถึงบริเวณหูรูดใน จะเกิดการกระตุ้นให้รู้สึกปวดถ่าย อยากเบ่ง ในขณะที่มีความรู้สึกอยากเบ่ง หูรูดในเริ่มคลาย เกิดกระบวนการเบ่งโดยความร่วมแรงระหว่างกล้ามเนื้อกระบังลมที่ยืดตัวให้มีการหายใจเข้าเต็มที่ ร่วมกับการบีบตัวของกล้ามเนื้อหน้าท้อง เกิดความดันในช่องท้องสูงขึ้น บีบรีดอุจจาระในลำไส้ใหญ่ตรงทวารหนักให้ผ่านหูรูดในลงมาพร้อมกับที่หูรูดทวารหนักนอกเปิด อุจจาระจึงเคลื่อนออกมาได้สำเร็จ แล้วกล้ามเนื้อที่ยึดติดที่กระดูกเชิงกรานด้านล่างกับผนังลำไส้หดตัวรีดอุจจาระที่เหลืออยู่ออกให้หมดเป็นการสิ้นสุดการขับถ่าย

ในระยะฝึกขับถ่ายทารกเล็กๆ ยังควบคุมการเบ่งด้วยการกลั้นลมหายใจไม่เก่ง แทนที่จะเบ่งลมลงล่างกลับเบ่งขึ้นบน เบ่งเต็มที่จนหน้าแดงแต่อุจจาระก็ไม่ค่อยออก ต้องหัดทำใหม่ เมื่อทำบ่อยๆ จะเบ่งลงล่างได้เอง อุจจาระจะออกมาได้ตามต้องการ ถือเป็นความสำเร็จเบื้องต้นของทารกที่เดียว

ทีนี้มาดูว่าเมื่อช่วยสวนหรือเหน็บอุจจาระจะเกิดอะไรขึ้นกับกระบวนการขับถ่าย การสวนเท่ากับไปกระตุ้นที่หูรูดในโดยที่ไม่ได้เกิดจากการดันของอุจจาระตามธรรมชาติ เมื่อสวนช่วยกระตุ้นให้ถ่ายบ่อยๆ ทารกต้องสนองด้วยการเบ่ง แต่อาจจะเสียการรับรู้ภายในเมื่ออุจจาระลงมาขังอยู่ตรงหูรูดใน คือไม่รู้สึกปวดถ่ายต้องรอให้มีการกระตุ้นอย่างแรงด้วยการเหน็บหรือสวน ซึ่งทำให้ไม่เกิดจากการกระตุ้นตามธรรมชาติ หากไม่สวนช่วยกระตุ้นจากภายนอกเขาก็มักไม่ถ่าย อย่างไรก็ตามการควบคุมการขับถ่ายได้เองจะทำได้เมื่ออายุประมาณขวบครึ่งถึงสองขวบ แต่เด็กที่ถูกสวนเป็นประจำอาจทำได้ช้าและมีปัญหาถ่ายยากจนโต นอกจากนั้นการสวนบ่อยๆ ซ้ำยังทำให้ทวารหนักอักเสบได้อีกด้วย

นอนกลางวัน สำคัญจริงหรือ

พ่อแม่หลายคนคงอดที่จะเหนื่อยใจไม่ได้ ที่กล่อมให้ทารกนอนหลับไม่ทันไรผ่านไปแค่ครึ่งชั่วโมงเจ้าตัวดีก็ตื่นมาโยเยอีกแล้ว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะวงจรการนอนของเบบี๋สั้นกว่าผู้ใหญ่อย่างเราๆ และเวลานอนของทารกโดยทั่วไปมักจะอยู่ที่ประมาณ 50-60 นาที เท่านั้น ในช่วงขวบปีแรกนี้คุณจะพบการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการนอนของลูกตามแต่ละช่วงวัย ดังต่อไปนี้

ทารกแรกเกิด ใช้เวลานอนประมาณวันละ 16-20 ชั่วโมง ซึ่งระยะเวลานี้รวมถึงการนอนกลางวันด้วย อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่ควรพูดคุยหยอกล้อเล่นกับลูกหลังจากให้อาหารสักพัก เพื่อที่ทารกจะได้ไม่ติดนิสัยว่าจะต้องกินก่อนจึงจะนอนหลับได้ ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาต่อไปเมื่อหนูน้อยโตขึ้น

หนูน้อยวัย 2 เดือน วัยนี้นับเป็นช่วงเวลาดีที่จะเริ่มต้นให้หนูน้อยได้ฝึกการนอนหลับด้วยตัวเอง หากเจ้าตัวเล็กร้องไห้เมื่อคุณวางเขาลงบนที่นอน นั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดา คุณอาจจะลองปล่อยให้ลูกร้องอยู่สัก 2-3 นาที เพื่อเปิดโอกาสให้หนูน้อยได้ฝึกปลอบประโลมตัวเอง หากลูกยังร้องไห้งอแง ลองตบก้นเบาๆ ลูบหลัง หรือลูบศีรษะเจ้าตัวน้อยพร้อมส่งเสียงกล่อม หนูน้อยก็จะสงบได้เองในที่สุด

เจ้าตัวเล็ก 3-6 เดือน คุณจะพบว่าลูกนอนกลางวันน้อยลง โดยทั่วไปหนูน้อยอาจจะนอนกลางวันแค่2-3 ครั้ง คุณควรพยายามอย่าให้ลูกนอนหลับในช่วงบ่ายแก่ๆ หรือประมาณหลัง 4 โมงเย็น เพื่อจะได้ฝึกให้ลูกเข้านอนตอนกลางคืนได้เป็นเวลา และหลับยาวได้ตลอดทั้งคืน

ขวบปีแล้วจ้า ได้เวลาที่หนูน้อยเริ่มโตเป็นหนุ่มน้อยสาวน้อยแล้ว จึงไม่ค่อยมีการนอนบ่อยๆ ระหว่างวัน เมื่อถึงวัยนี้เจ้าตัวเล็กจะนอนกลางวันในช่วงบ่ายๆ ได้นานประมาณ 2-3 ชั่วโมง และนอนกลางวันเพียงครั้งเดียว พอตกกลางคืนก็จะนอนต่อเนื่องได้ยาว 10-12 ชั่วโมง ทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเหนื่อยกับการตื่นมาดูลูกกลางดึกอีกแล้วค่ะ

นอนกลางวัน สำคัญแค่ไหน

คุณพ่อคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยตัวเอง คงไม่ปฏิเสธว่าการนอนกลางวันของลูกนั้นเป็นประโยชน์ต่อตัวคุณเองที่จะได้พักหลังจากการเฝ้าดูแลประคบประหงมลูกมาหลายชั่วโมงด้วย ส่วนประโยชน์ต่อเจ้าตัวน้อยนั้นก็มีมากมายเช่นกัน

การที่ทารกได้นอนหลับอย่างเพียงพอ จะช่วยในการพัฒนาสมอง มีงานวิจัยส่วนหนึ่งที่ระบุว่าการนอนกลางวันจะช่วยทำให้เด็กๆ จดจำข้อมูลต่างๆ ได้ยาวนานขึ้น

มีการศึกษาพบว่าเด็กๆ ที่นอนกลางวันจะมีสมาธิมากกว่า รวมทั้งงอแงน้อยกว่าเด็กที่ไม่ได้นอนกลางวัน

การนอนกลางวันจำเป็นต่อเจ้าตัวเล็ก โดยเฉพาะในช่วงกลางวัน เพราะเวลานี้พลังงานในร่างกายเริ่มลดลง หากทารกได้นอนกลางวันก็เท่ากับเป็นการชาร์ตพลังงานให้กลับมาอีกครั้ง

การนอนหลับ จะปล่อยฮอร์โมนที่ต่อสู้กับความเครียด หากหนูน้อยได้นอนเต็มอิ่มก็จะทำให้เด็กๆ ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่นไม่งอแง

จัดการอย่างไร ถ้าลูกไม่นอนกลางวัน

มีหลายเหตุผลที่ทำให้เจ้าตัวน้อยไม่ยอมนอนกลางวันค่ะ โดยทั่วไปถ้าลูกเหนื่อยมากๆ และไม่ได้นอนหลับในเวลาที่เขาควรจะนอน หนูน้อยก็จะโยเยและไม่ยอมนอนง่ายๆ คุณก็อาจจะต้องปรับเปลี่ยนตารางการนอนของลูกเสียใหม่ และต่อไปก็ควรจะคอยสังเกตอาการของลูก ที่ระบุว่าเขาเหนื่อยและต้องการพักผ่อน ซึ่งสัญญาณเหล่านั้นได้แก่
ขยี้ตา
หาวนอน
ดูเซื่องซึม ไม่ยิ้ม ไม่เล่น
โยเย งอแง
ร้องหาผ้าห่มหรือตุ๊กตาที่กอดเวลานอนเป็นประจำ หรือร้องหานมแม่

หลับฝันสำคัญกับทารก

การสำรวจคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในวัย 0-3 ปี พบว่าการนอนหลับในเด็กเล็กแบ่งเป็น 2 ช่วงคือ 1. หลับธรรมดา ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และ 2.ช่วงหลับฝันซึ่งสำคัญต่อการพัฒนาสมองของลูก แต่ทั้งนี้ เด็กไทยกลับไม่สามารถเข้าสู่ช่วงหลับฝันได้ เพราะสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมการนอนที่ไม่เหมาะสม ทำให้หลับไม่สนิทและนอนไม่เพียงพอ ดังนั้นพ่อแม่จึงควรฝึกลูกให้นอนเป็นเวลา ทำกิจกรรมก่อนนอนให้เป็นกิจวัตร ไม่ว่าจะเล่านิทาน นวด พูดคุย รวมทั้งสร้างบรรยากาศในการนอนให้อบอุ่นและปลอดภัยด้วย

การเลี้ยงดูลูกในแนวทางของคนญี่ปุ่น

ความใฝ่ฝันสูงสุดของคนเป็นพ่อแม่ คงหนีไม่พ้นการอยากจะให้ลูกเป็นคนเก่งและเป็นคนดี ซึ่งต้องเริ่มมาจากการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ ซึ่งจะสะท้อนออกมาให้เห็นจากตัวของลูกนั่นเอง ฉะนั้นการเริ่มต้นที่ดีของลูกจึงต้องมาจากพื้นฐานที่ดีที่พร้อมของพ่อแม่ด้วย

ศาสตรจารย์ ดร.ชิจิดะ มาโกโตะ ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองชาวญี่ปุ่น นักวิจัยที่ค้นคว้าเกี่ยวกับวิธีเพิ่มประสิทธิภาพของสมองอย่างต่อเนื่องมากว่า 30 ปี ดร.ชิจิดะ ได้ค้นพบว่าหากฝึกให้สมองทั้งสองซีกทำงานได้พร้อมๆ กัน จะทำให้มนุษย์คนนั้นสามารถดึงความเป็นอัจฉริยภาพของตนเองออกมาใช้ได้อย่างไร้ขีดจำกัด และจะดียิ่งขึ้นถ้าสามารถฝึกสมองทั้งสองซีกได้ตั้งแต่ช่วงอายุ 0-6 ขวบ เนื่องจากเป็นช่วงที่สมองมีพัฒนาการรวดเร็วถึงขีดสุด
การเรียนรู้ของเด็กควรจะต้องเริ่มจาก 3 สิ่งที่สำคัญนั่นคือ ความรัก ความเข้มงวด และก็ความเชื่อใจ ความไว้วางใจ แล้วสามสิ่งนี้จะเป็นผลดีต่อการเลี้ยงดูลูกอย่างไร ลองติดตามดูกัน

ความรัก

ส่วนมากนั้นพ่อกับแม่ต่างก็คิดว่าตัวเองรักลูกมาก แต่เด็กจะรู้หรือเปล่าว่าพ่อแม่รัก พ่อแม่เคยพูดหรือแสดงออกบ้างหรือไม่ ถ้าคิดว่าการเลี้ยงดูเด็กเกิดปัญหา ขอให้คิดว่า เพราะพ่อแม่ไม่ได้แสดงออกมาว่ารัก นั่นเอง ถ้าพ่อแม่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ารัก เด็กทุกคนก็จะเปิดใจให้ และการเลี้ยงดูเด็กก็จะไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น

ความเข้มงวด

คุณให้แต่คำชมกับเด็กอย่างเดียวหรือเปล่า พ่อแม่ที่คิดว่าการเรียนการสอนนั้นต้องมีแต่คำชมอย่างเดียว ไม่มีความเข้มงวด หรือกวดขันอะไร ไม่ว่าเด็กทำอะไรหรือกำลังติดขัดอะไร พ่อแม่ก็เอาแต่หัวเราะอย่างเดียว การกระทำอย่างนั้นดีแล้วหรือ
การชมก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง แต่ว่าถ้าจะชมอย่างเดียวจิตใจของเด็กจะไม่สามารถเติบโตได้ดี ถ้าเด็กทำผิด แต่พ่อแม่ไม่มีแก้ไขหรือตักเตือน จิตใจของเด็กก็จะเติบโตขึ้นไปในทิศทางที่ผิดพลาดยิ่งขึ้น พ่อแม่จะต้องกำหนดว่าเด็กทำอะไรแล้วเราจะโกรธ ตัวอย่างเช่น การทำให้คนอื่นเดือดร้อน การกระทำที่เป็นอันตราย และพ่อแม่ก็ต้องแสดงความโกรธอออกไปเพื่อให้ลูกรู้ว่าทำผิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นกฎที่พ่อแม่จะต้องกำหนดขึ้นมา และต้องทำให้ได้สม่ำเสมอ อย่าทำตามอารมณ์ เช่น วันนี้อารมณ์ดีไม่โกรธ แต่พรุ่งนี้อารมณ์เสียเลยโกรธทั้งๆ ที่เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะเด็กจะสับสนและไม่เข้าใจได้
หลังจากโกรธแล้วห้ามทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อเด็กพูดคำว่าขอโทษแล้ว สำนักผิดแล้ว เราจะต้องพูดชมเด็กที่รู้จักขอโทษ และรู้จักสำนึกผิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นการดูแลไม่ให้จิตใจของเด็กมีรอยแผลที่เกิดจากความโกรธของพ่อแม่

ความเชื่อใจ ความไว้วางใจ

พ่อแม่นั้นต่างก็อยากจะเลี้ยงดูเด็กให้ดีกันทุกคน โดยมากจะคิดไปถึงแต่ความสามารถ และความเก่งของเด็กอย่างเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยดีเท่าไร เช่น บทสนทนาส่วนมากจะพูดว่า ทำอะไรได้บ้างแล้ว ทำไมถึงทำไม่ได้ ซึ่งเรามักจะใช้สิ่งเหล่านี้ในการวัดความสามารถของเด็ก แต่การเลี้ยงดูเด็กนั้นควรจะยอมรับในทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบเป็นตัวเด็กขึ้นมา สิ่งสำคัญที่สุดก็คือควรจะสื่อให้เด็กรู้ว่า แค่น้องเพลง(ชื่อลูกคุณ) อยู่ที่นี่ พ่อกับแม่ก็มีความสุขมากแล้ว ไม่ใช่เอาแต่คาดหวังว่าเด็กจะทำอะไรได้หรือไม่ได้เท่านั้น และเวลาพูดคุยกับเด็กให้คิดเสมอว่าเขาเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ก็จะทำให้เด็กเปิดใจยอมรับการเลี้ยงดูของเราได้เป็นอย่างเต็มที่ พฤติกรรมของเด็กก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เพราะพ่อแม่มีการยอมรับและไว้วางใจในตัวพวกเขานั่นเอง

จะรู้ได้อย่างไร ว่าลูกพร้อมแล้วหรือยัง

หากจะต้องส่งลูกเข้าเรียนในชั้นอนุบาลแล้วในเทอมหน้านี้แล้ว แต่อยากจะทราบว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกพร้อมที่จะไปโรงเรียนแล้ว เพราะคุณพ่อคุณแม่ทุกคนก็อยากให้ลูกไปโรงเรียนแบบมีความสุข

เนื่องจากชั้นเตรียมอนุบาลก็รับเด็กตั้งแต่ 18 เดือนขึ้นไป คุณพ่อคุณแม่และคุณครูต่างก็มีความเชื่อว่า ถ้าลูกไปโรงเรียนอย่างมีความสุข ผู้ใหญ่ที่แวดล้อมเด็กทุกคนก็ย่อมมีความสุขไปด้วย สำหรับคำแนะนำมีดังนี้

การปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่ : ควรพาลูกไปรู้จักสถานศึกษาแต่เนิ่นๆ ก่อนเปิด โดยให้เล่นเครื่องเล่นที่สนามก่อนยิ่งดี หาโอกาสพาลูกไปแนะนำตัวกับคุณครูประจำชั้นเพื่อทำความคุ้นเคย ยิ่งถ้าลูกยังเล็กมาก ถ้าทำได้ใน 2 3 วันแรก น่าจะให้ลูกอยู่ทำกิจกรรมที่โรงเรียนเพียงครึ่งวัน ยังไม่ต้องนอนกลางวัน เพื่อลูกจะได้ค่อยๆ ปรับตัวปรับใจ

การกลัวการพลัดพราก : เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติของเด็กวัยนี้ คุณแม่อย่ากังวล เพียงคุณแม่พูด
ให้ลูกรู้ว่าจะมารับกลับบ้านกี่โมง ซึ่งควรรับให้ตรงเวลา อย่าสาย เพราะอาจจะทำให้เด็กรู้สึกใจเสีย เพราะเพื่อนๆ กลับไปหมดแล้ว และไม่ควรหลอกลูกว่าจะไปห้องน้ำ เพราะต่อไปหากคุณแม่ต้องเข้าห้องน้ำจริงๆ ลูกจะไม่ยอมให้ไป

การพูดถึงสิ่งดีๆ ที่โรงเรียนและให้กำลังใจลูก : ลูกต้องการ การเสริมแรงทางบวก โดยเฉพาะเด็กวัยนี้ต้องการคำชมเชย เช่น แม่ดีใจที่ลูกชอบเล่นระบายสีที่โรงเรียน เวลาไปรับลูกกลับบ้าน คุณแม่และคุณครูร่วมกันชมเชยลูกโดยการชมต่อหน้าเด็ก เช่น คุณครูขอชมลูกคุณแม่ค่ะว่าเป็นเด็กดีรับประทานแกงจืดตำลึงที่โรงเรียนด้วย วันนี้น้องนัทช่วยเพื่อนๆ เก็บของเล่นไม้บล็อกที่ชั้นวางด้วยค่ะ น่ารักมาก เป็นต้น

ดังนั้นขอเพียงผู้ใหญ่เข้าใจพัฒนาการ เด็กๆ ก็จะประสบความสำเร็จในการเริ่มต้นที่โรงเรียนและเรียนหนังสือพร้อมได้ประสบการณ์ใหม่ๆ อย่างมีความสุข

mothersdigest.in.th

ออมเงิน ออมอนาคต

การมีชีวิตคู่ การใช้ชีวิตคู่ร่วมกันนั้น ก็จะมีอยู่หลายๆ เรื่องที่ทั้งสามีและภรรยาจะต้องปรับตัวเข้าหาคนละครึ่งทาง เพื่อที่จะไม่เป็นการเปลี่ยนในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวของตัวเองมากเกินไป แต่เรื่องหนึ่งที่จะศึกษาและเรียนรู้กันตั้งก่อนการแต่งงานนั้น คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของการศึกษานิสัยใจคอในเรื่องการใช้เงิน เพราะหากคนใดคนหนึ่งมีนิสัยใช้เงินที่มากเกินตัว หรือฟุ่มเฟือยกับเรื่องไม่เป็นประโยชน์นั้น ก็คงจะทำให้สถานะทางการเงินไม่มั่นคงแน่นอน เพราะถ้าอีกฝ่ายหาเงิน แต่อีกฝ่ายไม่รู้จักช่วยเก็บ หรือไม่รู้จักการออมเงิน บอกได้เลยว่าครอบครัวไม่เป็นสุขแน่นอน

สร้างนิสัยการออม - การสร้างนิสัยการออม เป็นเรื่องที่ทุกคนคงจะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ จากทั้งคุณพ่อคุณแม่ ที่ท่านจะสอนเสมอว่าให้เหลือเงินมาหยอดกระปุกนะลูก และเราก็มักจะตื่นเต้นทุกครั้งที่พอกระปุกออมสินเต็ม ก็จะนำเงินนั้นไปเปิดสมุดฝากธนาคาร ใช่คะกว่าจะได้เงินออมนั้นจะต้องใช้เวลา และต้องบวกกับนิสัยที่ซื่อสัตว์ด้วย รวมถึงต้องใช้ความอดทนค่อนข้างมาก แต่ความหวังที่จะเห็นเงินฝากในบัญชีที่มากมายนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้ หากตอนนี้คุณทำงานแล้ว ก็ควรเริ่มต้นเก็บ 10% ของเงินเดือนไว้เป็นเงินออม ถ้าจะให้ดีควรฝากเป็นบัญชีเงินฝากประจำ แม้ว่าดอกเบี้ยที่จะได้รับไม่เยอะ แต่ก็ช่วยสร้างนิสัยการออมได้

วางแผนการใช้เงิน - คุณทั้งสองคน ควรที่จะตรวจสอบการใช้จ่ายเงินทุกสัปดาห์ ว่าใครใช้เงินหมดกับอะไรตรงไหนไปบ้าง โดยการจดบันทึกรายการ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้คุณทั้งคู่ทราบว่าหมดเงินไปกับรายจ่ายประเภทไหนบ้าง เท่านี้คุณทั้งคู่ก็จะทราบว่ารายจ่ายไหนเป็นรายการจ่ายที่ฟุ่มเฟือย เท่านี้ก็จะง่ายต่อการตัดรายจ่ายส่วนที่ไม่จำเป็นออกไปได้แบบง่ายๆ แถมเงินในกระเป๋าก็จะเหลือเพิ่มขึ้นด้วย

จ่าย ช็อป ซื้อ แบบประหยัด - จำไว้เลยว่าถ้าคุณจะต้องไปซื้อของที่ซุปเปอร์มารเก็ต หรือจะไปซื้อเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว ให้คุณเช็คและจดรายการที่จำเป็นต้องซื้อจริงๆ และพร้อมกับการเตรียมเงินไปพอประมาณไม่มากไม่น้อยไปกว่าของที่จะต้องซื้อ ถ้าซื้อของที่ต้องการครบแล้ว ก็ไม่ควรเดินไปเรื่อยๆ แบบเพลินอารมณ์ เพราะเพียงแค่อารมณ์ชัวร์วูบคุณอาจจะต้องจ่ายเงินหมดไปกับของล่อตาล่อใจก็ได้คะ และทางที่ดีไม่ควรพกเครดิตการ์ดไปด้วย อันนี้จำไว้เลย เพราะไม่งั้นคุณต้องมานั่งเศร้าจากสลิปเรียกเก็บเงินจากธนาคารตอนสิ้นเดือนแน่ๆ

รู้จักกิน รู้จักทาน อย่างประหยัด - ข้อนี้ไม่ได้ให้คุณทั้งคู่อดกับเรื่องการกิน แต่ให้กินเมื่อรู้สึกหิวจริงๆ อย่าเสียเงินเพราะเพียงแค่อยากกินเท่านั้น เรื่องของการกินก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่จะทำให้เงินในกระเป๋าหมดไปโดยที่เราก็ไม่ทันรู้ตัว ฉะนั้นคุณควรที่จะเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ ราคาไม่แพง อาหารที่แพงมากๆ นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีประโยชน์กับร่างกายเสมอไป ขอแนะนำว่าคุณควรที่จะซื้อวัตถุดิบต่างๆ มาปรุงเองที่บ้านจะดีกว่ามาก วิธีนี้จะช่วยประหยัดเงินได้ แถมยังเป็นเหมือนการเติมเต็มรักของคุณทั้งคู่ได้อีกด้วย เพราะการได้ทำกิจกรรมต่างๆ ในบ้านด้วยกัน ก็จะช่วยเพิ่มบรรยากาศความรักให้อบอวล

ลดกิจกรรมสิ้นเปลืองทั้งหลาย - หากหน้าที่การงานของคุณจะต้องสังสรรค์เข้าสังคมทำกิจกรรมเกือบจะทุกวัน จนทำให้คุณกับครอบครัวยุ่งอยู่กับกิจกรรมเหล่านี้ทั้งวัน จนทำให้รู้สึกว่าชีวิตวุ่นวายเหลือเกิน ก็แค่ปล่อยวางเรื่องเหล่านั้นลงบ้าง ทำตัวทำใจให้ว่าง แล้วหาเวลาพักผ่อน จอดรถให้หยุดอยู่กับที่ ปิดทีวี ปิดคอมพิวเตอร์เสียบ้าง เพียงเท่านี้ก็เป็นการลดกิจกรรมสิ้นเปลืองพลังงานลงได้

เที่ยวอย่างประหยัด - หากคุณทั้งสองคนอยากที่จะไปเที่ยวพักผ่อนต่างจังหวัด หลังจากที่ทำงานกันมาอย่างหนักนั้น ขอแนะนำให้ลาพักร้อนช่วงโลว์ซีซัน เพราะค่าโรงแรมถูกกว่ามากถึง 30-50% เลย และถ้าอยากจะให้วันหยุดนี้เป็นวันหยุดแสนสุขและก็ยังได้ประหยัดไปในตัวด้วยนั้น แนะนำให้คุณเตรียมอาหารสำหรับไปปิคนิคกันที่สวนสาธารณะ อย่าง สวนรถไฟ สวนหลวง ร.9 ฯลฯ เที่ยวแบบนี้ก็ดีไม่ใช่น้อย

พอใจกับสิ่งที่มีอยู่ - พอใจกับสิ่งที่มี กับสิ่งที่เป็น เป็นนิสัยและความรู้สึกที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันโรคฟุ่มเฟือยไม่รู้จักออมเงินได้อย่างน่าอัศจรรย์ และเป็นภูมิคุ้มกันที่จะช่วยผลักดันให้คุณมีวินัยเดินตามงบใช้จ่ายได้ พร้อมกับการออมเงินได้มากขึ้น แถมยังเป็นการใช้จ่ายน้อยลงอย่างไม่รู้ตัวเลยล่ะ


คุณ และ เขา เคยคุยกันในเรื่องเหล่านี้หรือเปล่า

เรียนรู้อุปนิสัยใจคอเรื่องการออม ของกันและกัน
หยุดพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินแบบมือเติบ
อย่าเล่นการพนัน หรือการนำเงินของครอบครัวไปเสี่ยงจดหมดตัว
ซื่อสัตย์มีสัจจะ ให้กันและกัน ในการใช้เงิน
ดูแลความเป็นอยู่ และบ้านด้วยงบประมาณที่สมเหตุสมผล
เปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส และเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหาเรื่องการเงินด้วยกันได้
ศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน

บุก NICU ห้องดูแลคุณหนูคลอดก่อนเกณฑ์

คุณพ่อคุณแม่ที่ให้กำเนิดลูกน้อยก่อนกำหนดคงมีความเครียดและกังวลมากในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ยิ่งถ้ามาเห็นห้องดูแลทารกที่คลอดก่อนกำหนด หรือที่เรียกกันว่า NICU (Neonatal Intensive Care Unit) ด้วย หรือห้องไอซียูของเด็กๆ ด้วยแล้ว บรรยากาศทางการบวกกับความเงียบ และเครื่องมือทางการแพทย์ที่ไม่คุ้นตาดูน่ากลัว คงทำให้พ่อแม่หลายท่านรู้สึกอึดอัด ยิ่งเห็นลูกน้อยตัวเล็กจิ๋วของเรานอนอยู่ท่ามกลางสายระโยงระยางด้วยแล้วก็คงจะยิ่งหวั่นใจไปกันใหญ่ แต่ลองคิดอีกแง่หนึ่งสายต่างๆ และเครื่องมือเหล่านั้นมันคือสิ่งที่จะช่วยให้หนูน้อยมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้

...เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่คลายความกังวล เราเลยพาคุณพ่อคุณแม่บุกไปดูห้อง NICU เพื่อให้รู้กันสิว่าเจ้าสายยางและเครื่องมือหน้าตาหน้ากลัวต่างๆ นั้น น่ากลัวจริงไหม แล้วมีหน้าที่อะไรกันบ้าง

Radiant Warmer เบาะนอนของทารกที่มีหลอดไฟอยู่ด้านบนนั้น มีไว้เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ทารก เพราะผิวของคุณหนูๆ ที่คลอดก่อนกำหนดค่อนข้างบาง จึงสูญเสียความร้อนทางผิวหนังค่อนข้างมาก เครื่อง Radiant Warmer นี้จะช่วยสร้างความอบอุ่นให้ทารก โดยจะมีตัวแปะที่ผิวทารกเพื่อวัดอุณหภูมิ แล้วแสดงที่หน้าจอ ว่าอุณหภูมิเท่าไร ร้อนหรือเย็นไปหรือไม่ เหมือนกับการอยู่ในตู้อบนั่นเอง แต่ตู้อบนั้นจะใช้ก็ต่อเมื่อคุณหมอหรือพยาบาลไม่จำเป็นต้องทำหัตถการบ่อยๆ เช่น เปลี่ยนสายน้ำเกลือ วัดอุณหภูมิ แต่ทารกคลอดก่อนกำหนดส่วนใหญ่ จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด การอยู่ใช้ Radiant Warmer จึงสะดวกมากกว่า

Transport incubator รถเข็นคันใหญ่โตนี้ มีไว้สำหรับเคลื่อนย้ายทารกที่ใส่ท่อช่วยหายใจ เนื่องจากในรถนี้จะมีเครื่องควบคุมที่ค่อนข้างคงที่ สำหรับทารกที่คลอดก่อนกำหนดแล้วจำเป็นต้องย้ายทารกจากห้องคลอดมาห้อง NICU การใช้รถนี้ก็จะทำให้เคลื่อนย้ายทารกได้อย่างปลอดภัย

ท่อช่วยหายใจ คือท่อที่ใส่เข้าทางปากของทารกนั้นเป็นท่อช่วยหายใจ ปัจจุบันมีอุปกรณ์ช่วยหายใจโดยใส่ทางจมูกเด็กโดยทีมแพทย์มักจะใช้ออกซิเจนช่วยทารกเท่าที่จำเป็นในระยะฉุกเฉินเท่านั้น เพราะถ้าใช้มากเกินความจำเป็น เด็กอาจจะมีอันตรายและมีภาวะแทรกซ้อนจากออกซิเจนได้

Pulse Oxymeter สายที่เห็นแปะไว้ที่นิ้วมือน้อยๆ ของทารกมีหน้าที่เพื่อเชคค่าอ๊อกซิเจน ดูการเต้นของหัวใจ โดยพยาบาลต้องคอยเปลี่ยนให้ทารกทุกๆ 4 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นผิวของหนูน้อยอาจเป็นแผลได้

สายให้น้ำเกลือทางสะดือ มีทั้งเส้นเลือดแดงและเส้นเลือดดำถ้าเป็นเส้นเลือดแดงก็จะใช้สำหรับดูดเลือดไปตรวจ เส้นเลือดดำไว้ให้น้ำเกลือ สารอาหารรวมถึงให้ยาด้วย แต่จะใช้เพียงระยะแรกๆ เท่านั้น เพราะหากใช้นานอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และมีผลแทรกซ้อนอื่นๆ ได้

* ผ้าห่อตัวทารก (Nest) มีทั้งแบบสำเร็จและแบบที่ให้ผ้ามาพับเอง ใช้เพื่อห่อตัวทารกและให้ทารกนอนในท่าที่เหมือนอยู่ในครรภ์มารดา เป็นการช่วยส่งเสริมและกระตุ้นพัฒนาการได้

เครื่องประคองศรีษะทารก แนบอยู่ระหว่างหูทั้งสองข้างของทารก เพื่อให้หน้าของทารกตั้งตรง และเป็นตัวยึด ป้องกันไม่ให้ท่อช่วยหายใจหลุด ขณะเดียวกันก็ป้องกันเสียงรบกวนรอบข้างด้วย

ตัวเลข มีไว้เพื่อกะตำแหน่งวางแผ่นเอกซเรย์และใช้วัดความยาวของสายต่างๆ เนื่องจากทารกคลอดก่อนกำหนดจะต้องทำการเอกซเรย์ค่อนข้างบ่อย แต่ขณะเดียวกันการเคลื่อนย้านทารกวันละหลายๆ ครั้งก็ไม่เป็นผลดี ดังนั้นหากสามารถเอกซเรย์ได้โดยไม่ต้องอุ้มทารกออกจากที่นอนก็จะเพิ่มความปลอดภัยให้หนูน้อยมากขึ้น

สาเหตุการคลอดก่อนกำหนด

สาเหตุของการคลอดก่อนกำหนดนั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด อย่างไรก็ตามมีปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดภาวะคลอดก่อนกำหนดได้หลายประการ ไม่ว่าจะเป็น การติดเชื้อของน้ำคร่ำระหว่างตั้งครรภ์ เรื่องของถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด มีประวัติคลอดก่อนกำหนด หรือแท้งในระยะหลังของการตั้งครรภ์มาก่อน มีความผิดปกติของทารกหรือรก มีภาวะครรภ์แฝดน้ำ หรือว่าครรภ์แฝด ที่ส่งผลให้มดลูกขยายตัวมากกว่าปกติ มารดามีโรคร้ายแรง เช่น ปอดบวม ไส้ติ่งอักเสบ เป็นต้น

คลอดก่อนกำหนดป้องกันได้

แม้ว่าจะไม่รู้สาเหตุที่ทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด แต่ทั้งนี้คุณแม่ตั้งครรภ์ก็สามารถดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดได้ ด้วยวิธีการง่ายๆ ต่อไปนี้
- ดูแลเรื่องโภชนาการ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และรับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่
- รักษาความสะอาดระหว่างตั้งครรภ์ เพราะเรื่องความสะอาดเป็นความสำคัญอันดับแรก ที่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อและทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดได้
- ดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อป้องกันโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ เพราะขณะตั้งครรภ์มดลูกที่ขยายตัวจะไปกดทางเดินปัสสาวะ ทำให้การไหลเวียนของทางเดินปัสสาวะลดลง เสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น
- ไม่ทำงานหนักเกินไป เพราะทำงานหนักมากเกินไปก็จะทำให้เกิดการบีบตัวของมดลูกได้
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

รู้จักกับ โรคลมแดด

สังเกตกันไหมว่าสภาพอากาศร้อนของเมืองไทยดูจะทวีความร้อนแรงมากขึ้นทุกปีๆ อากาศก็ร้อนถ้าใจคนพาลร้อนตามอากาศไปด้วย แบบนี้ไม่ดีต่อสุขภาพร่างกายแน่ๆ เพราะบรรดาโรคฤดูร้อนนั้นก็มีชุกชุมมากพออยู่แล้ว อาทิ ท้องร่วง ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ โรคกลัวน้ำ ฯลฯ แล้วยังมีอีกโรคหนึ่งที่เกิดขึ้นบ่อยในหน้าร้อนเช่นกัน แต่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันมากนัก โรคที่ว่าก็คือ Heat Stroke หรือโรคลมแดด แต่บางที่ก็เรียกว่า โรคอุณหพาต หรือ โรคลมเหตุร้อน

Heat Stroke หรือโรคลมแดด เป็นโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไปจนทำให้ความร้อนในร่างกาย (Core temperature) สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส อาการเบื้องต้นคือ เมื่อยล้า อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน วิตกกังวล สับสน ปวดศีรษะ ความดันต่ำ หน้ามืด ไวต่อสิ่งเร้าง่าย และยังอาจมีผลต่อระบบไหลเวียน ซึ่งอาจมีอาการเพิ่มเติมอีก ได้แก่ ภาวะขาดเหงื่อ เพ้อ ชัก ไม่รู้สึกตัว ไตล้มเหลว มีการตายของเซลล์ตับ หายใจเร็ว มีการบวมบริเวณปอดจากการคั่งของของเหลว หัวใจเต้นผิดจังหวะ การสลายกล้ามเนื้อลาย ช็อคและเกิดการสะสมของลิ่มเลือดจนไปอุดตันหลอดเลือดขนาดเล็กทำให้อวัยวะต่างๆ ล้มเหลว ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้

คนที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคลมแดดคือ ทหาร นักกีฬากลางแจ้ง ผู้ที่ทำงานในสภาพอากาศที่ร้อนชื้น คนอดนอน คนดื่มเหล้าจัด ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงแล้ว ผู้สูงอายุกับเด็กเล็กที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ดังนั้นหากคุณพ่อคุณแม่เตรียมพร้อมรับมือไว้บ้างก็น่าจะดี เพราะปิดเทอมนี้รับรองเลยว่าเจ้าตัวเล็กจะต้องวิ่งเล่นอยู่กลางแดดทั้งวันแน่ๆ

วิธีปฐมพยาบาล

- นำผู้ป่วยเข้าร่ม นอนราบ ยกเท้าสูงทั้งสองข้าง แล้วถอดเสื้อผ้าออก
- ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามซอกตัว คอ รักแร้ เชิงกราน ศีรษะ ร่วมกับการใช้พัดลมเป่าเพื่อช่วยระบายความร้อน
- เทน้ำเย็นราดลงบนตัวเพื่อลดอุณหภูมิร่างกายให้ลดต่ำลงโดยเร็วที่สุด แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาล

วิธีการป้องกันโรคลมแดด

1. ให้ลูกหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดในวันที่อากาศร้อนจัด
2. ในวันที่มีอากาศร้อนจัดก่อนออกจากบ้านควรให้ดื่มลูกน้ำก่อน 1-2 แก้ว และหากจำเป็นต้องอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศร้อน ควรให้ลูกดื่มน้ำบ่อยๆ แม้ลูกจะไม่รู้สึกกระหายน้ำก็ตาม และถึงแม้ว่าจะอยู่ในที่ร่มก็ควรให้ดื่มน้ำบ่อยๆ วิธีสังเกตว่าลูกได้รับน้ำเพียงพอหรือยังคือ ให้สังเกตปากลูกว่าแห้งหรือยังชุ่มชื้นอยู่ หากปากลูกแห้งนั่นก็แสดงว่าลูกเริ่มมีอาการขาดน้ำแล้ว
3. หน้าร้อนให้ลูกสวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีอ่อน ไม่หนา น้ำหนักเบา และสามารถระบายความร้อนได้ดี
4. ก่อนออกจากบ้านควรทาครีมกันแดดสำหรับเด็กที่มีค่า SPF 15 ขึ้นไปให้กับลูกทุกครั้ง
8. สำหรับเด็กเล็กและผู้สูงอายุควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ต้องจัดให้อยู่ในห้องที่อากาศระบายได้ดี และอย่าปล่อยให้เด็กหรือผู้สูงอายุอยู่ในรถที่ปิดสนิทตามลำพังโดยเด็ดขาด

เมื่อเจ้าตัวดีขี้โมโห...

สถานการณ์สมมติ : คุณเดินเข้าไปหาเจ้าตัวเล็กที่กำลังเพลินกับของเล่นชิ้นใหม่ หลังจากที่เตือนลูกล่วงหน้าแล้วว่าอีก 5 นาทีจะได้เวลาอาบน้ำ เมื่อถึงเวลาคุณบอกลูกว่า ได้เวลาอาบน้ำแล้วจ๊ะ เจ้าตัวดีทำเฉยเหมือนไม่ได้ยิน ไปอาบน้ำกันเถอะ คุณยังไม่ละความพยายาม คราวนี้เอื้อมมือไปดึงแขนลูกเบาๆ ด้วย เจ้าตัวเล็กสบัดแขนทันใด พร้อมแผดเสียงว่าม่ายยย ม่ายยยอาบ ไป!! ไปเล้ยยย! เจ้าตัวดีส่งเสียง กราดเกรี้ยว ชี้มือไล่ให้คุณไปไกลๆ คุณจะ....

1. ลูกตวาด ฉันก็ตวาดสุดเสียงเหมือนกัน พูดดีๆ แล้วไม่ฟัง ก็คงต้องโดนดีกันบ้างล่ะ ว่าแล้วสงครามกลางบ้านก็เกิดขึ้น! ลูกตวาด คุณตะคอก !! ยื้อยุดกันสุดฤทธิ์ ฉันจะยอมแพ้ลูกไม่ได้!!!

2. หันหลังให้เจ้าตัวเล็ก เดินออกไปสงบสติอารมณ์ ก่อนเปิด Baby & Kids digest เพื่ออ่านคู่มือสยบเด็กอารมณ์ร้อน ระงับอารมณ์ของคุณไม่ให้ปรอทแตก....ก่อนจะกลับไปรับมือกับลูก

หากคุณเลือกข้อ 2 ขอแสดงความยินดีด้วย เพราะคุณได้เลือกมาถูกทางแล้ว หากช่วงนี้คุณรู้สึกว่านางฟ้าน้อยๆ หรือเจ้าชายน้อยสุดน่ารักของคุณ กลายเป็น Little Devil นั่นอาจเป็นเพราะพัฒนาการตามวัยของลูกก็เป็นได้

โมโห....เพราะไม่ได้ดั่งใจ
ในเมื่อเจ้าตัวดีอยากจะเล่น เล่น แล้วก็เล่น แต่คุณแม่ดันไปขัดใจให้ไปอาบน้ำ มีหรือจะยอมไปดีๆ ว่าแล้วก็เลยอาละวาด เพราะไม่ได้ดั่งใจ นี่คือสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เจ้าตัวดีอารมณ์ร้อนค่ะ เรียกได้ว่าเป็นวิธีหนึ่งที่หนูน้อยนำมา ทดลองใช้ เพื่อต่อรองให้ได้สิ่งที่เขาต้องการ และหากว่าคุณทำตามทุกครั้งที่ลูกอาละวาด กรีดร้อง เขาก็จะเข้าใจว่านี่เป็นวิธีที่ถูกต้องและใช้วิธีการนี้บ่อยๆ ดังนั้น การจะสยบคุณหนูขาวีนได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของคุณพ่อคุณแม่ต่อเจ้าตัวเล็กด้วย

โมโหอย่างนี้... พ่อแม่ต้องมีสติ
เมื่อหนูน้อยอาละวาด สิ่งแรกที่พ่อแม่อย่างเราควรทำคือ ตั้งสติ และพยายามสงบสติอารมณ์ เมื่อลูกร้อนก็อย่าร้อนไปกับลูก เมื่อคุณควบคุมอารมณ์ไม่ให้โมโหได้แล้วก็ต้องมาคิดต่อว่าเรื่องใดสำคัญ และเรื่องใดไม่สำคัญ เช่น หากคุณคิดว่ามันสำคัญมากที่ลูกต้องทำตามคุณในทุกเรื่อง ฉะนั้นคุณก็ต้องยอมรับผลที่ตามมานั่นก็คือการมีสงครามย่อยๆ ภายในบ้านระหว่างคุณกับลูก แต่หากคุณคิดว่าการปรับพฤติกรรมและสอนให้ลูกควบคุมอารณ์ไม่โวยวาย ขี้โมโห สำคัญกว่า คุณก็อาจจะต้องยอมผ่อนปรนบ้าง แผนการที่ดีคือ ตั้งกฎให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ วิธีนี้จะทำให้ลูกได้เรียนรู้ว่า เมื่อใดก็ตามที่มีกฎเกณฑ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องนั้นจะต้องเป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ เช่น ทุกครั้งที่ข้ามถนน ต้อง ให้ผู้ใหญ่จูงมือ

หลากวิธี สยบอารมณ์ร้อน
หลังจากที่คุณตัดสินใจได้แล้วว่าเรื่องใดที่คุณจะให้ความสำคัญ ต่อไปก็มาถึงวิธีการรับมือเมื่อเจ้าตัวน้อยปรอทแตก รับรองว่าหากทำได้คุณจะสยบให้เจ้าตัวเล็กสงบลงได้ในที่สุด

ไม่สนใจ ฟังดูง่าย แต่ทำได้ไม่ง่ายนัก ในเมื่อเจ้าตัวดีแผดเสียงดิ้นทุรนทุรายอยู่ตรงหน้า แล้วจะไม่สนใจได้อย่างไรใช่ไหมค่ะ วิธีนี้คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องใช้ความพยายามสักนิดในการที่จะไม่สนใจเจ้าตัวดีที่อาละวาดอยู่ เพราะโดยทั่วไปหนูน้อยที่แสดงอาการเช่นนี้ก็เพื่อเรียกร้องความสนใจนั่นเอง และยิ่งคุณสนใจ ก็จะยิ่งเป็นแรงเสริมให้ลูกมีพฤติกรรมไม่น่ารักเช่นนี้ต่อไป คราวหน้าหากลูกรักเริ่มอาละวาด ลองทำเฉย เปิดโทรทัศน์ดู แกล้งทำเป็นอ่านหนังสือ ในที่สุดลูกก็จะเหนื่อยและหยุดร้องไปเอง ถึงเวลานั้นแล้วค่อยจับเข่าคุยกันดีๆ

จับแยก ลองอุ้มเจ้าตัวดีที่กำลังดิ้นพล่านไปไว้อีกห้อง (ถ้าคุณแน่ใจว่าลูกจะไม่อาละวาดทำลายข้าวของ หรือตัวเอง) และคุณก็ออกมาอยู่อีกห้อง วิธีนี้จะช่วยทำให้ทั้งคุณและลูกสงบสติอารมณ์ของตัวเอง เมื่อเสียงร้องของลูกเงียบไปแล้ว คุณค่อยเข้าไปหาลูก

เบี่ยงเบนความสนใจ วิธีนี้ใช้ได้ดี ในกรณีที่คุณพ่อคุณแม่เป็นคนใจเย็น และมั่นใจว่ารับมือได้ดีหากโดนเจ้าตัวดีอาละวาดกลับมาค่ะ การเบี่ยงเบนความสนใจทำได้โดย เมื่อลูกเริ่มอาละวาด คุณก็ผละไปเล่นของเล่นชิ้นใหม่ หรือหาน้ำดื่มมาให้ลูก อุ้มเจ้าตัวดีไปเดินเล่นชี้ให้ชมนกชมไม้ ฯลฯ ทำสิ่งใดก็ได้ที่จะทำให้ลูกลืมเรื่องที่ทำให้เขาหัวเสียเพื่อหันเหความสนใจ

รับมือภาวะเด็กคลอดก่อนกำหนด

หากคุณแม่ตั้งครรภ์ตั้งแต่ 28 สัปดาห์และคลอดก่อนอายุครรภ์ครบ 37 สัปดาห์ เราจะเรียกการคลอดนี้ว่าเป็นการคลอดก่อนกำหนด ทารกที่คลอดก่อนกำหนดส่วนใหญ่จะน้ำหนักน้อย ตัวเล็ก และจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากแพทย์ด้วยเครื่องมือต่างๆ ทั้งนี้ เป็นเพราะระบบร่างกายของลูกยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่นั่นเอง ในประเทศไทยพบว่าร้อยละ 10 ของหญิงตั้งครรภ์มีภาวะคลอดก่อนกำหนด และนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพของลูกน้อยหลังคลอด

คลอดก่อนกำหนด กับระบบของร่างกาย

ทารกที่คลอดก่อนกำหนดนั้น ระบบต่างๆ ของร่างกายยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้แพทย์ต้องให้ความช่วยเหลือในหลายๆ ด้านไปพร้อมกัน คุณพ่อคุณแม่อาจพบว่าร่างกายของลูกน้อยเต็มไปด้วยสายระโยงระยางดูน่ากลัว แต่ทั้งหมดนั้นก็เพื่อช่วยชีวิตของเจ้าตัวเล็กให้ผ่านช่วงวิกฤตไปได้นั่นเอง โดยทั่วไปสิ่งที่แพทย์จะต้องตรวจสอบและให้ความช่วยเหลือทารกที่คลอดก่อนเกณฑ์ มีหลายประการ แต่จะยกตัวอย่างบางระบบให้พอเข้าใจคือ

การหายใจและปอด - ทารกที่คลอดก่อนกำหนดเมื่อคลอดออกมาแล้วส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องการหายใจ ถ้าไม่มีข้อห้ามอื่นๆ สูติแพทย์จะแนะนำให้ฉีดยากระตุ้นการทำงานของปอด เพื่อภายหลังการคลอดปอดของลูกจะได้ทำงานได้ดีขึ้น คุณพ่อคุณแม่อาจเห็นว่ามีท่อช่วยหายใจที่ใส่ทางปากและอุปกรณ์ช่วยหายใจผ่านทางจมูก นอกจากนี้ยังมีการให้สารลดแรงตึงผิวในทารกบางราย นั่นก็เพื่อช่วยให้ปอดทำงานได้ดีขึ้นนั่นเอง

หัวใจ - ระหว่างที่อยู่ในครรภ์มารดาเลือดจากมารดาจะผ่านเส้นเลือดที่สายสะดือไหลไปที่หัวใจลูก และผ่านเส้นเลือดที่หัวใจ ( Ductus arteriosus ) ไปสู่เส้นเลือดแดงใหญ่และไปเลี้ยงทั่วร่างกายเลือดจะไม่ไปที่ปอดเนื่องจากความดันเลือดในปอดสูง หลังจากที่ลูกคลอด ความดันในปอดจะลดลงทำให้เลือดไปปอดมากขึ้น แต่ในทารกที่คลอดก่อนกำหนดอาจมีภาวะปอดที่ไม่สมบูรณ์ทำให้ความดันเลือดในปอดยังคงสูงทำให้เลือดไปที่ปอดน้อยลง และทำให้เส้นเลือดที่หัวใจเส้นนี้ยังเปิดอยู่ซึ่งถ้าไม่ได้รับการวินิจฉัยและได้รับการรักษาได้ทันทีอาจทำให้มีผลแทรกซ้อนต่อระบบอื่นๆ และอันตรายต่อชีวิตได้

ระบบประสาทสมอง - เป็นอวัยวะสำคัญมากอีกอวัยวะหนึ่ง เนื่องจากถ้าสมองขาดออกซิเจนก็จะมีผลกระทบต่อทุกๆ อวัยวะตามมา และในทารกที่คลอดก่อนกำหนดจะเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกในช่องสมองได้ง่ายจึงต้องมีการตรวจ ultrasound ที่ศีรษะเป็นระยะ

ระบบทางเดินอาหาร - เด็กที่คลอดก่อนกำหนด การดูด การกลืนนม และระบบการย่อยจะยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ดังนั้น การให้นมก็ต้องระวัง หากสามารถให้นมแม่ได้ก็จะดีที่สุดซึ่งถ้ามีปัญหาการดูดการกลืนก็สามารถดูดนมแม่ได้ แต่ถ้าการดูด การกลืนการหายใจไม่สัมพันธ์กันก็ต้องให้ทางสายยางทีละน้อยๆ หรือหากไม่สามารถให้นมแม่ได้ก็ต้องใช้นมผงสำหรับเด็กคลอดก่อนกำหนดโดยเฉพาะ

สายตา - เด็กที่คลอดก่อนกำหนดเส้นเลือดในจอประสาทตายังพัฒนาไม่เต็มที่ ร่างกายก็จะสร้างเส้นเลือดเพิ่มขึ้นมาใหม่ ทำให้เส้นเลือดหนาขึ้นแล้วดึงจอประสาทตาจนอาจทำให้ตาบอดได้ ทารกคลอดก่อนกำหนดจึงต้องตรวจจอประสาทตาเป็นระยะเป็นระยะๆ ด้วย

อาหารการกิน กับการคลอดก่อนกำหนด

ถ้าทารกคลอดออกมาอายุครรภ์น้อย ยังดูดกลืนไม่ได้หรือการดูดการกลืนและการหายใจยังไม่สัมพันธ์กัน ก็ต้องใส่สายให้อาหารผ่านทางปากเข้าไปที่กระเพาะอาหารโดยตรง นอกจากนี้ยังมีสายให้น้ำเกลือและสารอาหารต่างๆ กรณีที่ทารกไม่มีปัญหาเรื่องการย่อย การดูด การกลืนและการหายใจที่ไม่สัมพันธ์กันก็จะให้ทารกดูดนมแม่ได้และค่อยๆ เพิ่มนมทีละน้อย หากคุณแม่ไม่สามารถให้นมได้ก็จะใช้นมผงสำหรับเด็กคลอดก่อกำหนดแทนนมแม่ก่อน โดยประมาณ ภายใน 2 สัปดาห์หากไม่มีปัญหาอื่นๆ และโดยเฉพาะลำไส้ติดเชื้อ หรือรุนแรงจนถึงลำไส้เน่าทารกก็จะสามารถกินนมได้เต็มที่

ดูแลอย่างไร เมื่อลูกได้กลับบ้าน

ร่างกายของทารกคลอดก่อนกำหนดนั้นบอบบางและต้องได้รับการดูแลมากเป็นพิเศษค่ะ อย่างไรก็ตาม หากคุณหมออนุญาติให้คุณพ่อคุณแม่พาลูกกลับบ้านได้ นั่นก็หมายความว่าเจ้าตัวน้อยของคุณปลอดภัยในระดับหนึ่งแล้ว หากแพทย์ไม่ได้แจ้งข้อยกเว้นอะไร การดูแลก็สามารถทำได้เหมือนทารกปกติ แต่มีบางสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่อาจต้องให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษไม่ว่าจะเป็น
เนื่องจากทารกที่คลอดก่อนกำหนดมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายกว่าเด็กทั่วไป การดูแลสุขอนามัยของลูก รวมทั้งสิ่งแวดล้อมรอบๆ กายให้สะอาดอยู่เสมอก็จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ในระดับหนึ่ง ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกอยู่ใกล้กับผู้ที่ป่วยเป็นไข้หวัด ไอ จาม มีน้ำมูก เพราะหากลูกได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายก็จะป่วยได้ง่าย และอาจเป็นหนักกว่าเด็กปกติ โดยเฉพาะในช่วงวัย 1-3 ปี

พัฒนาการ เด็กคลอดก่อนกำหนด

การกระตุ้นพัฒนาการให้เจ้าตัวน้อยที่คลอดก่อนกำหนดก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะเด็กๆ ที่คลอดก่อนเกณฑ์นี้ มีโอกาสที่จะมีพัฒนาการล่าช้ากว่าเด็กทั่วไป คุณพ่อคุณแม่จึงควรกระตุ้นพัฒนาการลูกให้มากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะด้วยการพูดคุย เล่นกับลูกบ่อยๆ กอด นวดสัมผัส เปิดเพลงให้ลูกฟัง กระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 5 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 ปีแรกของชีวิตคุณอาจต้องใช้เวลากับการกระตุ้นพัฒนาการของลูกให้มากกว่าเด็กทั่วไป เพราะเป็นเวลาที่สมองของลูกกำลังเจริญเติบโต หากได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสมก็จะทำให้เจ้าตัวน้อยมีพัฒนาการเทียบเท่ากับเด็กที่คลอดปกติได้

Kangaroo Care อบอุ่นในกระเป๋าจิงโจ้

Kangaroo Care เป็นการอุ้มที่ให้ผิวของผู้อุ้มและทารกจะสัมผัสกันโดยตรง ลักษณะเดียวกับที่ลูกจิ้งโจ้อบอุ่นอยู่ในกระเป๋าของแม่จิ้งโจ้นั่นเอง วิธีการก็แสนง่ายเพียงแค่ปรับอุณหภูมิห้องให้อบอุ่นพอดี ผู้อุ้มหาที่นั่งเอนหลังสบายๆ แล้ว ปลดกระดุมเสื้อเพื่อให้ลูกได้อบอุ่นอยู่แนบอก ให้ผู้ช่วยอีกคนอุ้มลูกน้อยที่ใส่เพียงผ้าอ้อมมาวางไว้ที่หน้าอกในลักษณะคล้ายๆ กับการให้นม ซึ่งหูของหนูน้อยจะอยู่ใกล้กับหัวใจของผู้อุ้มพอดี วิธีการนี้เชื่อว่าช่วยทำให้ระดับการเต้นของหัวใจ การหายใจ และอุณหภูมิร่างกายของทารกคงที่มากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์มากๆ ต่อหนูน้อยที่คลอดก่อนกำหนด

Magical Massage นวดให้หนูนอนสบาย



คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกวัยแรกคลอดคงต้องประสบปัญหาต่างๆ ไม่เว้นแต่ละวัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมถึงอาการป่วยไข้ ไม่สบายกายของลูกน้อยด้วย ซึ่งนอกไปจากยาและการรักษาตามที่แพทย์แนะนำแล้ว คุณก็สามารถใช้การสัมผัสเพื่อทำให้ลูกรู้สึกดีขึ้นได้

แน่นจมูก
เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับทารกวัยต่ำกว่า 3 เดือนที่จะมีอาการแน่นจมูก เนื่องจากทางเดินหายใจของทารกยังคงพัฒนาไม่เต็มที่ เมื่อมีการผลิตน้ำมูกออกมาจึงทำให้หนูน้อยหายใจไม่สะดวกได้ โดยทั่วไปอาการนี้เป็นเรื่องที่ไม่ต้องกังวล เพราะหากหนูน้อยวัยต่ำกว่า 3 เดือนไม่สามารถหายใจทางจมูกได้สะดวก เขาจะเริ่มร้องไห้ เพื่อให้หายใจทางปากแทน อย่างไรก็ตามหากอาการนี้ทำให้หนูน้อยเกิดหงุดหงิด งอแง ไม่ยอมดูดนม คุณอาจใช้เครื่องดูดน้ำมูกค่อยๆ ดูดน้ำมูกออกให้ลูกได้
อีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาเมื่อทารกน้ำมูกไหล หายใจไม่ออก คุณสามารถบรรเทาอาการได้โดย วางนิ้วชี้ไว้บริเวณหัวตาทั้งสองข้างของลูก และให้นิ้วโป้งอยู่ที่ใต้คาง หลังจากนั้นค่อยๆ กดนิ้วชี้ๆ เลื่อนลงมาตามแนวข้างจมูกของลูกน้อย และกดผ่านบริเวณแก้มออกไป ทำซ้ำเช่นนี้ 3 ครั้ง

โคลิค
หากจะบอกว่า โคลิค เป็นอาการยอดนิยมสำหรับเจ้าตัวเล็กก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะทารกวัยแรกเกิด 3 เดือน ประมาณ 20% จะร้องไห้กวนเป็นเวลา ส่วนใหญ่มักจะเป็นในช่วงเย็นๆ หรือค่ำๆ ติดต่อกันประมาณ 3 ชั่วโมง มากกว่า 3 วันต่อสัปดาห์โดยไม่ทราบสาเหตุ เด็กมักจะร้องคล้ายเจ็บปวด หรืออาการปวดท้องแบบเจ็บแปลบ แต่จริงๆ แล้วทารกไม่ได้เจ็บปวดแต่อย่างใด คุณอาจพบว่าลูกดิ้น และผายลม เวลาร้องหน้าจะแดง ขาทั้งสองข้างงอขึ้นและหดเกร็ง บางรายอาจไม่ยอมกินนม และมีอาการเกร็งมือ และเท้าเล็กน้อย แต่ทั้งนี้อาการทั้งหมดจะหายไปเมื่อลูกอายุเลย 3 เดือน
วิธีการนวดเพื่อบรรเทาอาการร้องโคลิกสามารถทำได้โดย ทาโลชั่นสำหรับเด็กลงบนฝ่ามือของคุณเล็กน้อย จินตนาการว่าท้องของเจ้าตัวเล็กคือหน้าปัดนาฬิกา วางปลายนิ้วมือข้างขวาลงบนตำแหน่ง 9 นาฬิกา แล้วลากนิ้วมือนั้นไปตามแนว 9 12 และ 3 ในคราวเดียวกันอย่างช้ำๆ ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง ขั้นต่อไป วางฝ่ามือข้างขวาลงบนสะดือของหนูน้อย และวางฝ่ามือซ้ายไว้ข้างๆ กัน นวดเบาๆ ลงบนท้องของเจ้าตัวเล็ก 5 ครั้งวนตามเข็มนาฬิกา

ท้องผูก
อาการท้องผูกในทารกนั้น พบได้บ่อยโดยเฉพาะกับหนูน้อยที่ไม่ได้กินนมแม่ ช่วงหลังคลอดคุณอาจพบว่าหนูน้อยถ่ายได้ดี กินปุ๊ป ถ่ายปั๊ป แต่เมื่อผ่านไปประมาณ 1-2 สัปดาห์ หนูน้อยอาจถ่ายวันเว้นวัน สองวันครั้ง หรือกระทั่งอาทิตย์ละครั้ง ซึ่งหากเจ้าตัวน้อยไม่มีอาการโยเย กินอาหาร คุยเล่นได้เป็นปกติ รวมทั้งอุจจาระไม่แข็ง คุณก็ไม่จำเป็นต้องกังวล แต่หากคุณรู้สึกว่าอาการท้องผูกของลูกเป็นปัญหาทำให้ลูกไม่สบายเนื้อตัวก็สามารถปรึกษากุมารแพทย์ได้ค่ะ อย่างไรก็ตามคุณไม่ควรสวนหรือให้ยาระบายแก่ทารกโดยเด็ดขาด

คุณอาจบรรเทาอาการท้องผูกของลูกได้ระดับหนึ่งด้วยการนวด วิธีการเริ่มจาก ถอดผ้าอ้อมของเจ้าตัวเล็กออก และจับลูกน้อยนอนคว่ำ วางนิ้วชี้และนิ้วกลางบนสะโพกขวาของหนูน้อย ค่อยๆ หมุนนิ้วเป็นวงกลมตามเข็มนาฬิกา 25 ครั้ง และทำเช่นเดียวกันกับสะโพกด้านซ้าย

ไขปัญหา...เมื่อเจ้าหนูขี้กลัว

ไม่เอา หนูไม่ไป หนูกลัวผี! เอาล่ะซิ เมื่อคุณไล่ให้ลูกไปอาบน้ำ แต่กลับกลายเป็นว่า ลูกไม่ยอมไปทั้งๆ ที่เอาใจสารพัด แถมบอกคุณว่าอีกด้วยว่าเขากลัวผีมาหลอก กลัวจิ้งจก กลัวนู่น กลัวนี่ เอ! ลูกกลัวจริงๆ หรือแค่แกล้งเราเพื่อจะได้ไม่ต้องอาบน้ำกันนะ

ความกลัวของเด็กพบได้ตามธรรมชาติ และเด็กมักจะเกิดความกลัวสูงสุดในช่วงพัฒนาการวัย 3-5 ปี สิ่งที่เด็กๆ มักจะกลัวกันเป็นส่วนใหญ่ก็คือ ความมืด เสียงดังๆ ที่สูง สัตว์จำพวก งู จิ้งจก จิ้งเหลน ตุ๊กแก และที่ฮิตที่สุดก็เห็นจะเป็นผี ดังนั้นหากลูกวัยนี้เกิดความกลัวไปเสียหมดทุกสิ่งทุกอย่างก็ถือว่าลูกมีพัฒนาการเป็นปกติดีอยู่ คุณแม่ควรพึงระลึกไว้อยู่เสมอว่าสัญชาตญาณมีไว้ให้คนๆ นั้นเกิดความระมัดระวังต่อสิ่งต่างๆ แต่หากขาดซึ่งสัญชาตญาณนี้ไป อาจจะทำให้ชีวิตเกิดอันตรายได้ หรือถ้ามีมากไปก็จะทำให้ไม่สามารถพัฒนาตนเองต่อไปได้ดี

สาเหตุที่ทำให้เด็กเกิดความกลัว คือ

1. เด็กอาจมีแบบอย่างของคนขี้กลัว วิตกกังวล หรือเป็นโรคประสาทวิตกกังวลอยู่
2. เด็กถูกข่มขู่ ถูกหลอก จนทำให้ตกใจกลัวอยู่บ่อยๆ
3. เด็กมีประสบประการณ์ที่ทำให้ตกใจอย่างรุนแรงมาก่อน เช่น ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ถูกตี ดุว่าอย่างรุนแรง
4. ขาดคนประคับประคอง ขาดการฝึกฝนทักษะ จนทำให้ขาดความมั่นใจ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ไม่ได้ดี

หนทางแก้ไขปัญหา

1. หาต้นแบบของความวิตกกังวล หรือคนขี้กลัวภายในบ้าน เพราะพฤติกรรมของเด็กส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นจากการเลียนแบบ อย่างเช่น คุณแม่ที่เห็นจิ้งจกแล้วกระโดดร้องกรี๊ด จะทำให้เด็กเกิดความตกใจและหวาดกลัวตามมาได้ การลดต้นแบบของความหวาดกลัว ความวิตกกังวลลง และแสดงท่าทีที่เชื่อมั่นในสิ่งต่างๆ รอบตัว จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่เด็กได้

2. ลดท่าทีข่มขู่ หรือไม่แสดงความโกรธที่ทำให้ไปเพิ่มความหวาดกลัวของเด็กโดยไม่จำเป็น ผู้ใหญ่อย่างเรายิ่งเห็นเด็กกลัวก็ยิ่งแสดงท่าข่มขู่เพิ่มขึ้น หรือมีความคิดผิดๆ ที่ว่าการหลอกให้เด็กกลัว จะเป็นการทำให้เด็กเชื่อฟังมากขึ้น การหลอกทุกรูปแบบให้เด็กหวาดกลัว เช่น หลอกว่าเดี๋ยวตุ๊กแกจะมากินตับ เดี๋ยวจะพาไปให้หมอฉีดยา ถ้าเสียงดังเดี๋ยวผีได้ยิน แล้วจะมาหลอกนะ ฯลฯ การหลอกแบบนี้คุณพ่อคุณแม่ควรเลิกเสียเถอะ บางครั้งผู้ใหญ่สนุกที่หลอกเด็กได้ แต่หารู้ไม่ว่าไปเพิ่มความวิตกกังวล และความกลัวให้แก่เด็กโดยไม่มีความจำเป็น

3. แสดงท่าทีอบอุ่น ปลอบประโลม เข้าใจความรู้สึกของเด็ก บอกความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และเบี่ยงเบนความสนใจไปยังสิ่งอื่น ครั้งแรกๆ อาจไม่ได้ผล ให้ทำซ้ำๆ สม่ำเสมอและอยู่ใกล้ชิดกับเด็กให้นาน

4. เพิ่มทักษะในการช่วยเหลือตนเอง การตัดสินใจ และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นบ่อยๆ จะส่งผลทำให้เด็กมีความมั่นใจในตัวเอง และมั่นใจสภาพแวดล้อมได้ดีขึ้น

5. ฝึกให้เผชิญกับสิ่งที่น่ากลัวทีละน้อย แบบค่อยเป็นค่อยไป และคอยให้กำลังใจเป็นระยะๆ จนเด็กสามารถเชิญหน้ากับสิ่งที่กลัวได้เพิ่มมากขึ้น

จับสังเกตสุขภาพของเบบี๋

ด้วยสุขภาพของวัยแรกเกิดช่างเป็นช่วงที่อ่อนไหว และคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ก็อาจจะงุนงงและตกใจกับอาการต่างๆ ของลูกน้อย ดังนั้นอย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไป เรามาเรียนรู้อาการต่างๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาพของเจ้าหนูตัวน้อยวัยแรกเกิดกัน

ปานแดงชนิดเรียบ ปานแดงที่เปลือกตาบน หน้าผากและท้ายทอย พบได้ประมาณร้อยละ 50 ของทารก แรกเกิด ปานชนิดนี้จะมีขอบเขตไม่ชัดเจน และจะแดงขึ้นเวลาทารกร้อง ปานแดงที่เปลือกตามักหายไปเมื่อทารกมีอายุหนึ่งปี ปานแดงที่หน้าผากมักพบร่วมกับปานแดงที่ท้ายทอย มีรูปร่างเป็นสามเหลี่ยม โดยมีฐานอยู่ที่ชายผมและมุมชี้ไปทางจมูก stork mark ปรากฏนานกว่าหนึ่งปี และอาจคงอยู่ให้เห็นในเด็กโตหรือผู้ใหญ่เป็นครั้งคราวเวลาโกรธ

ภาวะเขียวคล้ำที่ใบหน้า เป็นภาวะเขียวคล้ำที่ใบหน้า เกิดจากการมีเลือดคั่งและมีจุดห้อเลือด (petechiae) จำนวนมาก เกิดจากการถูกบีบรัดโดยการคลอดตามธรรมชาติหรือจากสายสะดือพันคอ จุดห้อเลือดมักหายอย่างรวดเร็วใน 2-3 วัน

ภาวะเขียวที่มือและเท้า ภาวะเขียวที่มือและที่เท้า พบได้บ่อยในทารก 24-48 ชั่วโมงแรกหลังคลอด เกิดจากการไหลเวียนเลือดที่มือและเท้าช้าลง หรืออยู่ในที่เย็นและหรืออาจมีภาวะอุณหภูมิกายต่ำ

เลือดออกที่ตาขาว เลือดออกที่ตาขาวหรือรอบๆ แก้วตา เป็นภาวะที่พบได้บ่อย และหายเองภายใน 2-3 สัปดาห์

ตุ่มขาวในปาก มักเกิดที่กลางเพดานปากของทารกแรกเกิด อาจมีเม็ดสีขาวขนาดเท่าหัวเข็มหมุด (เส้นผ่าศูนย์ กลาง 1 มิลลิเมตร) เรียกว่า Epithelial pearl หรือ Epstein pearl ซึ่งเป็นของปกติในทารกแรกเกิด อาจมีจำนวนมากน้อยต่างกัน ตุ่มเล็กๆ นี้ไม่ทำให้ทารกไม่ดูดนมและจะหลุดไปเอง อาจพบตุ่มขาวลักษณะนี้ที่เหงือก ที่หัวนม และปลายอวัยวะเพศชาย ซึ่งเรียกว่า Epidermal inclusion cyst คนสูงอายุเรียกสิ่งใดที่มีสีขาวในปากของทารกว่า หละ

ลิ้นขาว พบได้ในทารกแรกเกิดโดยปรากฏสีขาวกระจายเท่าๆ กัน บริเวณกลางลิ้น ซึ่งจะหายเองเมื่อทารกมีอายุมากขึ้นจึงไม่จำเป็นต้องให้การรักษาใดๆ การวินิจฉัยแยกโรคจากเชื้อรา ซึ่งพบมีแผ่นสีขาวเป็นหย่อมๆ ที่ลิ้น และพบร่วมกับที่เพดานปาก กระพุ้งแก้มหรือที่ริมฝีปากด้วย

ปานดำ (Mongolian spot) เป็นสีของผิวหนังที่มีสีเขียวเทาหรือสีน้ำเงินดำ มีขอบเขตไม่ชัดเจน เกิดจากการมีเซลล์เมลานินแทรกซึมอยู่ในชั้นผิวหนังมาก พบที่บริเวณก้นกบ ก้นและหลังส่วนเอว อาจพบได้ที่หลัง ส่วนบนหัวไหล่ แขนและขา ภาวะนี้พบร้อยละ 90 ของทารกแรกเกิด โดยพบตั้งแต่ทารกคลอดออกมา และมักหายไปก่อนพ้นวัยทารก

ถุงอัณฑะยาน ถุงอัณฑะอาจยานจนเกือบสัมผัสที่นอน คนสูงอายุมีความเชื่อว่าเป็นสิ่งผิดปกติ และให้การรักษา โดยการประคบถุงอัณฑะด้วยใบพลูลนไฟ ถุงอัณฑะยานมากหรือน้อยใช้เป็นลักษณะหนึ่งในการประเมินอายุครรภ์ของทารก ถุงอัณฑะยานพบในทารกที่อายุครรภ์ครบกำหนดหรือเกินกำหนดได้

ของเหลวไหลออกทางช่องคลอด ทารกมีเมือกสีขาวข้นออกมาทางช่องคลอด บางครั้งอาจมีเลือดที่มาจากการหลุดของเยื่อบุมดลูกปนออกมามากที่สุด ในระหว่างวันที่ 3-5 หลังคลอดและหายไปภายใน 2 สัปดาห์ กลไกที่ทำให้เกิดยังไม่ทราบ

เมื่อเจ้าตัวดีกระดูกหัก

ร่างกายน้อยๆ ของเจ้าตัวเล็กมักมีความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุอยู่บ่อยๆ ทั้งนี้เป็นเพราะหนูน้อยมักจะสนุกจนลืมที่จะระมัดระวังตัวเอง จึงทำให้ต้องเจ็บตัวเอาได้ง่ายๆ หากเป็นเพียงแผลถลอก ฟกช้ำ ก็คงไม่เท่าไร แต่ถ้าถึงขั้นกระดูกหักข้อหลุดขึ้นมา คนเป็นพ่อแม่อย่างเราๆ ก็คงต้องร้อนใจไม่ใช่น้อยเลยทีเดียวค่ะ อย่างไรก็ตามภาวะกระดูกหักในเด็กอาจไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างที่คิด หากคุณมีความรู้และความเข้าใจที่ดีพอ

รู้ได้อย่างไรว่าใช่ กระดูกหัก

หากว่าเจ้าตัวเล็กเล่นซนและพลัดตกจากที่สูง หรือร่างกายได้รับการกระแทกจากของแข็ง คุณอาจต้องสังเกตอาการของลูกน้อยดังนี้
- ลูกไม่ยอมขยับหรือเคลื่อนไหวร่างกายส่วนที่ได้รับบาดเจ็บเลย
- บริเวณที่ได้รับบาดเจ็บมีรูปร่างผิดไป เช่น โก่งงอ บิดเบี้ยว หรือช้ำและบวมมาก
- เคลื่อนไหวไม่ปกติ หรือมีเสียงกระดูกเสียดสีกัน
- เจ็บปวดมากบริเวณที่บาดเจ็บ

สงสัยว่า กระดูกหัก ต้องรู้จักปฐมพยาบาล

สิ่งที่คุณควรทำเมื่อพบหรือสงสัยว่าเจ้าตัวเล็กกระดูกหัก ได้แก่
- ใช้วัสดุแข็ง เช่น ไม้บรรทัด กระดาษแข็ง กระดาษพับทบหลายๆ ชั้น ดามบริเวณที่คิดว่ากระดูกหักไว้ ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะดัดหรือดึงบริเวณที่บาดเจ็บด้วยตัวเอง
- หากจำเป็นต้องเคลื่อนผู้ป่วย พยายามให้บริเวณที่ได้รับบาดเจ็บเคลื่อนที่น้อยที่สุด
- ใช้น้ำแข็งประคบเพื่อลดอาการปวด
- ไม่ควรให้เจ้าตัวน้อยรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มใดๆ ทั้งสิ้น เพราะอาจสำลักได้
- นำส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว

รู้เท่าทัน ระวังถูกวิธี

ข้อมูลต่อไปนี้น่าจะทำให้คุณพ่อคุณแม่ระวังลูกน้อยของคุณได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น เพราะเรากำลังจะบอกว่า อวัยวะใดของเจ้าตัวเล็กมีความเสี่ยงที่จะได้รับบาดเจ็บจากกระดูกหักมากที่สุด
กระดูกไหปลาร้า - เกิดขึ้นได้ตั้งแต่เด็กแรกคลอดซึ่งตัวใหญ่คลอดยาก ไปจนถึงเจ้าตัวเล็กก่อนวัยเรียนที่เวลาล้มมักเอาไหล่กระแทกพื้น อย่างไรก็ตามในเด็กอ่อนกระดูกไหปลาร้าที่หักจะประสานติดกันได้ภายใน 2 สัปดาห์ ส่วนเด็กโตอาจต้องใช้เวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์
กระดูกข้อมือและแขน - เจ้าตัวเล็กที่เวลาล้มมักใช้มือหรือแขนยันพื้น อาจทำให้กระดูกข้อมือและแขนหักได้ ซึ่งอาจต้องใช้เวลารักษาประมาณ 6 สัปดาห์
กระดูกแขนบริเวณเหนือข้อศอก - พบได้บ่อยในกรณีที่เด็กหกล้มเช่นกัน โดยใช้การรักษาประมาณ 4-6 สัปดาห์

เด็กๆ กระดูกหักง่าย ก็ติดง่าย

แม้ว่ากระดูกของเจ้าตัวเล็กจะบอบบางและมีโอกาสหักได้ง่ายกว่า แต่ในทางกลับกันก็สามารถเชื่อมติดกันได้เร็วกว่าผู้ใหญ่ด้วย ทั้งนี้เป็นเพราะเยื่อหุ้มกระดูกของเด็กมีความหนาแน่นและทนทานกว่าของผู้ใหญ่ รวมทั้งยังสร้างกระดูกได้ดีกว่า โดยทั่วไปเมื่อเจ้าตัวเล็กกระดูกหักเยื่อหุ้มกระดูกบริเวณที่หักจะไม่ขาดทั้งหมด ทำให้กระดูกไม่หลุดจากกันโดยสิ้นเชิง ยิ่งเด็กเล็กเท่าไรกระดูกที่หักก็ยิ่งเชื่อมติดกันได้ง่ายเท่านั้น เช่น เด็กแรกเกิด หากกระดูกขาหักก็จะเชื่อมติดกันได้ภายในระยะเวลาประมาณ 3 สัปดาห์ เทียบกับเด็กวัย 8 ปี จะใช้เวลา 8 สัปดาห์ เด็กวัย 12 ปี ใช้เวลา 12 สัปดาห์ แต่หากเป็นผู้ใหญ่จะใช้เวลาถึง 20 สัปดาห์เลยทีเดียว

เมื่อลูกน้อยกล้ามเนื้ออ่อนแรง

คุณพ่อคุณแม่มักมีอาการกังวลมาก เมื่อสังเกตเห็นว่าลูกน้อยมีพฤติกรรมการนั่ง ยีน คลาน หรือเดินช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจะทำอย่างไร ก่อนอื่นพ่อแม่ควรพาเด็กที่มีอาการดังกล่าวมาพบแพทย์ โดยเฉพาะกุมารแพทย์ที่ดูแลเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กหรือกุมารแพทย์ด้านประสาทวิทยา เพื่อจะได้ตรวจวินิจฉัยได้อย่างถูกต้องและสืบค้นถึงสาเหตุที่ทำให้เด็กไม่มีแรง


สาเหตุที่เด็กมีกล้ามเนื้ออ่อนแรง สามารถแบ่งเป็นกลุ่มๆ ตามตำแหน่งของพยาธิสภาพ ดังนี้

1. โรคที่มีพยาธิสภาพในสมอง หรือความพิการแต่กำเนิดของสมอง
2. โรคที่เกิดในระดับไขสันหลัง
3. โรคที่เกิดในส่วนหน้าของไขสันหลัง
4. โรคที่เกิดในระดับเส้นประสาท
5. ความผิดปกติของรอยต่อระหว่างกล้ามเนื้อและเส้นประสาท
6. โรคกล้ามเนื้อ
7. กรณีอื่นๆ ที่นอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้น

อ่านมาถึงตอนนี้คุณพ่อคุณแม่คงจะยิ่งกังวลมากขึ้นและเริ่มสงสัยว่าจะรักษาได้หรือไม่ ก่อนที่จะทราบว่ารักษาได้หรือไม่ ขอขยายเรื่องสาเหตุให้ละเอียดขึ้นเล็กน้อยในบางสาเหตุ เพราะสามารถป้องกันได้ เช่น โรคที่เกิดกับสมอง แล้วทำให้กล้ามเนื้อของเด็กอ่อนแรงนั้น ส่วนใหญ่อาจจะมีต้นเหตุตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา หรือเกิดขึ้นระหว่างการคลอดหรือหลังคลอด เช่น

ความพิการแต่กำเนิดของสมอง
ภาวะสมองขาดออกซิเจนจากสาเหตุใดก็ตาม เช่น
- ก่อนคลอด : มีภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด หรือภาวะรกเกาะต่ำทำให้เลือดออกมากทางช่องคลอด
- ระหว่างคลอด : ศีรษะเด็กไม่ได้สัดส่วนกับเชิงกรานแม่ ทำให้คลอดทางช่องคลอดไม่ได้
- หลังคลอด : เด็กไม่หายใจ
ภยันตรายจากการคลอดทำให้มีเลือดออกในสมอง

ป้องกันลูกน้อยจากภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง

สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สามารถป้องกันได้คือ การดูแลตัวเองอย่างดีตลอด 10 เดือนของการตั้งครรภ์ กินอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูสภาพร่างกายของเด็กในครรภ์ แพทย์สามารถวัดเส้นผ่าศูนย์กลางของศีรษะเด็กได้ ก็จะบอกความพิการคร่าวๆ ได้ ถ้ามีเลือดออกทางช่องคลอดต้องรีบไปพบแพทย์มิฉะนั้นอาจเกิดปัญหากับเด็กต่อไป

อีกโรคหนึ่งซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กกล้ามเนื้ออ่อนแรง คือ เกิดความผิดปกติในส่วนหน้าของไขสันหลัง โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสโปลิโอ จะทำให้เกิดการอักเสบของไขสันหลังส่วนหน้า (anterior horn cell) มักจะเป็นในระดับล่างๆ ของไขสันหลังทำให้เด็กเดินไม่ได้ วิธีป้องกันคือ การรับวัคซีนโปลิโอในเด็ก 3 ครั้ง เมื่ออายุ 2 เดือน 4 เดือนและ 6 เดือน และกระตุ้นอีก 2 ครั้ง เมื่ออายุ 1 ปีครึ่ง และ 4 5 ปีตามลำดับ เพียงเท่านี้ท่านก็ป้องกันโรคนี้ได้แล้ว

นอกจากนี้โรคของเส้นประสาทที่จะทำให้เด็กไม่มีแรงและป้องกันได้อีก คือ โรคเหน็บชา สาเหตุจากการขาดไวตามิน B1 ซึ่งจะมีมากในเนื้อหมู (เนื้อแดง) ข้าวซ้อมมือ เป็นต้น การเลี้ยงเด็กจึงมีความจำเป็นต้องรับประทานอาหารทุกหมู่ ไม่ควรเลือกอาหารกินอาหาร สำหรับคนที่เป็นมังสวิรัติจำเป็นต้องรับประทานไวตามินเสริมเป็นประจำ นอกจากนี้พิษจากตะกั่วหรือพิษจากแอลกอฮอล์ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง จึงควรหลีกเลี่ยง ส่วนความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงนั้น ปัจจุบันก็สามารถตรวจได้โดยการเจาะถุงน้ำคร่ำตรวจ หากพบความผิดปกติแพทย์จะทำให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลงได้

คุณพ่อคุณแม่อ่านมาถึงตอนนี้คงโล่งใจแล้ว เพราะโรคร้ายๆ ที่เล่าสู่กันฟังนั้น ส่วนใหญ่ป้องกันได้และต้องไม่ประมาท เด็กเล็กๆ มีสิ่งเร้าต่างๆ เข้ามากระทบต่อสมองและระบบประสาทมากมายและเป็นภยันตรายได้ง่าย จึงต้องหมั่นดูแลประคับประคองจนลูกน้อยของเราเติบใหญ่ต่อไป

เรื่องอึ! ของวัยเบบี๋

เรื่องของการขับถ่ายเป็นเรื่องที่คุณแม่มือใหม่ให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่องอื่น และบ่อยครั้งที่อุจจาระของลูกก็สร้างความกังวลใจให้คุณแม่ไม่น้อย ทั้งสีอุจจาระที่เปลี่ยนไป และอุจจาระมีสิ่งเจือปน เป็นต้น แต่ถ้าคุณแม่มีความรู้เกี่ยวกับอุจจาระของลูกก็คงทำให้สบายใจขึ้นอีกเป็นกองเลยค่ะ

ลูกน้อยแรกเกิดอึ! สีอะไร

ในช่วงแรกเกิดสีอุจจาระของลูกจะไม่เหลืองอร่ามอย่างที่คุณแม่มือใหม่หลายคนเข้าใจ แต่จะมีสีเขียวปนเทาหรือปนดำและมีลักษณะเหนียวข้น หรือที่เรียกว่า ขี้เทา นั่นเอง เมื่อลูกเริ่มดูดนมแม่ซึ่งน้ำนมช่วงแรกเป็นหัวน้ำนมเหลืองใส จะช่วยให้ลำไส้บีบตัวขับขี้เทาออกมาจนหมด จากนั้นอุจจาระจะมีลักษณะเหลวและมีสีน้ำตาลปนเขียวใน 2-3 วัน และจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองในอีก 2-3 วันต่อมา ซึ่งลักษณะของอุจจาระในช่วงนี้ขึ้นอยู่กับนมที่ลูกได้รับ ทารกที่กินนมผสมอุจจาระจะมีสีเหลืองหรือน้ำตาลอ่อน มีกลิ่นแรงกว่า บางครั้งเนื้ออุจจาระก็จะแข็งกว่าด้วย นอกจากนี้นมผสมบางชนิดยังอาจทำให้อุจจาระมีสีเขียว ซึ่งเกิดจากธาตุเหล็กที่ผสมอยู่ในนม แต่ไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย

นอกจากอุจจาระสีต่างๆ ที่กล่าวมานี้ อุจจาระของลูกอาจบอกถึงภาวะต่างๆ ดังนี้

อุจจาระมีน้ำปนมากจนเหลว ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการที่คุณแม่กินยาปฏิชีวนะในระหว่างให้นมลูก
อุจจาระมีมูกปน ต้องระวังการติดเชื้อในทางเดินอาหาร โดยเฉพาะถ้าเป็นมูกปนเลือด อุจจาระมีเลือดปนก็มีหลายสาเหตุ เช่น ลูกอาจมีเลือดออกที่ลำไส้ หรือร่องก้นของลูกอาจเป็นแผล จึงทำให้มีเลือดปนออกมากับอุจจาระ หากดูท่าทางแล้วไม่น่าไว้ใจควรพาลูกไปปรึกษาคุณหมอดีกว่า
อุจจาระมีฟองปน ถ้ามีลมปนออกมามาก และรอบๆ รูทวารของลูกมีสีแดง อาจเป็นเพราะการย่อยนมผิดปกติทำให้เกิดภาวะกรดมาระคายเคืองผิวหนังรอบรูทวาร หรือในเด็กที่กินนมแม่ล้วนๆ แต่ดูดเฉพาะนมช่วงต้น (Fore Milk) ซึ่งมีน้ำตาลแลคโตสมาก อุจจาระจะเป็นลักษณะดังกล่าว และน้ำหนักลูกจะไม่ค่อยเพิ่มขึ้น ควรแก้ไขโดยให้ดูดจนเกลี้ยงเต้า เพราะน้ำนมแม่ช่วงท้ายๆ (Hind milk) จะมีไขมันมาก

ทำไมลูกน้อยไม่ถ่ายทุกวัน

สำหรับเจ้าตัวเล็กที่กินนมแม่หลังคลอด 4 สัปดาห์ นมแม่จะไม่มีน้ำนมเหลืองเจือปน ลูกจึงไม่ถ่ายบ่อยเหมือนเคย ถ้าลูกยังกินนมแม่ต่อไป ลูกอาจจะถ่ายวันเว้นวัน หรือ 2-3 วันจึงจะถ่ายสักครั้ง โดยที่ไม่มีอาการปวดท้อง ท้องอืด หรืออาเจียน และยังคงถ่ายเป็นก้อนนิ่มหรือเหลวเหนียวเป็นลำติดต่อกัน แบบนี้ก็ไม่ถือว่าลูกเข้าข่ายท้องผูก ซึ่งสาเหตุที่ลูกไม่ถ่ายทุกวันเป็นเพราะนมแม่ย่อยง่าย ลำไส้ของลูกจะดูดซึมน้ำนมแม่ไปใช้ในการเจริญเติบโตได้เกือบทั้งหมด ทำให้เหลือกากที่จะถ่ายออกมาน้อย
ส่วนอาการที่จัดว่าลูกท้องผูกนั้นให้ดูจากความแข็งของอุจจาระและความลำบากขณะถ่าย ถ้าลูกถ่ายเป็นก้อนแข็งหรือก้อนกลมและมีเลือดออกเป็นบางครั้ง ถึงแม้ลูกจะถ่ายทุกวันก็ถือว่าลูกมีอาการท้องผูก ซึ่งทารกที่กินนมแม่มักจะไม่ค่อยเจอปัญหานี้ ส่วนมากจะพบในเด็กที่กินนมผสมที่ชงไม่ถูกสัดส่วน วิธีแก้ไขก็คือต้องพยายามตวงนมให้ถูกตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ข้างกระป๋อง และเมื่อลูกเริ่มกินอาหารเสริม คุณแม่ก็ควรให้ลูกได้กินผักและผลไม้เป็นประจำ ซึ่งในช่วงที่ลูกเริ่มกินอาหารเสริมใหม่ๆ อุจจาระของลูกจะมีความแข็งและสีเข้มกว่าปกติ เนื่องจากลูกกำลังปรับตัวเข้ากับอาหารใหม่ๆ ซึ่งบางครั้งคุณแม่อาจพบเศษอาหารเล็กๆ ปนออกมากับอุจจาระของลูกด้วย

เมื่อลูกมีอายุครบ 1 ปี ส่วนใหญ่แล้วจะถ่ายวันละ 1 ครั้งซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้แตกต่างกันไป แต่ถ้าอุจจาระของลูกไม่มีลักษณะผิดปกติก็ขอให้คุณแม่สบายใจได้ว่า ระบบขับถ่ายของลูกยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ

Good to know

ทารกที่ไม่ว่าจะกินนมแม่หรือนมผสมก็ตาม หากอุจจาระเปลี่ยนเป็นสีคล้ายไข่ตุ๋น หรือสีซีดๆ เทาๆ อาจเป็นเพราะท่อน้ำดีของทารกเกิดการอุดตัน ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายขั้นร้ายแรง ฉะนั้นควรรีบพาลูกไปพบคุณหมอโดยทันที

ระวัง..ภาวะตกเลือดหลังคลอด

ภาวะเสี่ยงในหญิงตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่ควรระวังให้มากเป็นพิเศษ เพราะไม่เช่นนั้นอาจเสี่ยงถึงขั้นเสียชีวิตได้ และในหญิงตั้งครรภ์หลังจากที่คลอดลูกแล้วนั้น มีไม่น้อยที่ต้องเสี่ยงกับอาการตกเลือดหลังคลอด โดยการตกเลือดหลังคลอดในหญิงที่เพิ่งคลอดลูกใหม่ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ยิ่งในกรณีที่มีการผิดปกติทำให้เสียเลือดมาก อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตกเลือดหลังคลอดได้เช่นกัน
สาเหตุที่ทำให้เกิดการตกเลือด เช่น การมีบาดแผลที่มดลูก หรือช่องทางคลอด เช่น การฉีกขาดของกล้ามเนื้อมดลูก การฉีกขาดของปากมดลูกและช่องคลอด หรือการตกค้างของเนื้อรกในโพรงมดลูก ซึ่งสาเหตุหลังนี้อาจจะทำให้มีการตกเลือดล่าช้าคือ หลังคลอดไปแล้ว 1-2 สัปดาห์ ส่วนอีกหนึ่งสาเหตุของการตกเลือดนั่นก็คือ การใช้ยาแอสไพริน หรือยาบางชนิดที่ทำให้การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
อาการแสดงของภาวะตกเลือดหลังคลอด

การตกเลือดหลังคลอดจะมีลักษณะเลือดออกมาในปริมาณที่มากในระยะ 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด การสังเกตดูคือเลือดจะออกมาจนชุ่มผ้าอนามัยในเวลา 1 ชั่วโมงหรือน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมง หรือมีเลือดสีแดงออกมาภายหลังการคลอดลูก 4-5 วัน นอกจากนี้ปริมาณเลือดสีแดงสดจะออกมากขึ้น แทนที่จะลดน้อยลงในสัปดาห์แรกหลังการคลอดลูก และอาจมีก้อนเลือดออกเป็นลิ่มเลือดขนาดใหญ่ในระยะ 2-3 วันแรกหลังการคลอด ทั้งนี้ขึ้นอยู่สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเลือดออก

การรักษาแพทย์จะให้การรักษาตามสาเหตุของการเกิดการตกเลือด เช่น ในกรณีที่มีการหดรัดตัวของมดลูกไม่ดี การกระตุ้นมดลูกให้หดรัดตัวด้วยการคลึงมดลูกเบาๆ และให้ยากระตุ้น (เช่น ยาออกซิโทซิน ยากลุ่มเออร์โกเมทริน หรือพรอสตาแกลนดิน) ยากลุ่มนี้จะช่วยยับยั้งอาการได้ และในกรณีที่เลียเลือดจากการฉีกขาด แพทย์จะตรวจหาแผลฉีกขาดและเย็บซ่อมแซมให้โดยเร็ว ซึ่งในหญิงคลอดลูกบางรายที่มีการเสียเลือดมากจำเป็นต้องให้สารน้ำทางหลอดเลือด และให้เลือดตามแต่กรณีไป

ภาวะติดเชื้อหลังคลอด

เป็นภาวะติดเชื้อที่เกิดจากการคลอด การติดเชื้อในระยะหลังคลอดที่พบได้คือ การอักเสบของเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งมักเกิดจากบริเวณรอยแผลที่รกฝังตัว และอีกกรณีหนึ่งคือ หญิงคลอดลูกที่มีการผ่าตัดคลอดเนื่องจากมีการแตกของถุงน้ำคร่ำก่อนเวลา และมีระยะการคลอดที่ยาวนาน นอกจากนี้อาจเกิดจากการติดเชื้อในภาวะฉีกขาดของแผลฝีเย็บหรือทางช่องคลอด
อาการแสดงของภาวะติดเชื้อหลังคลอด

หญิงคลอดลูกที่มีภาวะของการติเชื้อหลังคลอดลูกจะมีการอักเสบของเยื่อบุโพรงมดลูก มีไข้ต่ำๆ ปวดถ่วงตรงบริเวณท้องน้อย และน้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น ในหญิงคลอดลูกบางรายอาจมีการติดเชื้อของแผล ทำให้มีการปวดบวม กดเจ็บบริเวณรอบๆ แผล ปัสสาวะแสบขัด ในกรณีที่มีการติดเชื้อเข้าสู่ระบบเลือด จะมีไข้สูงเกิน 38 องศา หนาวสั่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย หากคุณแม่หลังคลอดมีอาการไข้ที่ขึ้นสูงมากจนผิดปกติ อาจจะรีบให้แพทย์ตรวจเพื่อหาสาเหตุโดยด่วน การรักษาเมื่อมีอาการติดเชื้อหลังคลอด แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะทันทีที่มีการติดเชื้อ การตรวจเพาะเชื้อเพื่อดูชนิดของแบคทีเรีย และยาที่สามารถทำลายเชื้ออย่างเฉพาะจะช่วยให้การรักษาได้ผลเร็วขึ้น

Good-to-Know

แท้งค้าง หรือ Missed Abortion เป็นภาวะที่เด็กทารกเสียชีวิตแล้วทั้งที่อยู่ในโพรงมดลูกมากกว่า 4-8 สัปดาห์ อันตรายของการแท้งค้าง ทารกที่ตายค้างอยู่ในมดลูก อาจมีส่วนของเนื้อเยื่อที่เน่าเปื่อยหลุดเข้าไปในกระแสเลือดของคุณแม่ ไปกระตุ้นให้ระบบการแข็งตัวของเลือดคุณแม่เสียไป ทำให้คุณแม่มีเลือดออกในหลายส่วนของร่างกาย เช่น เลือดออกตามไรฟัน ใต้ผิวหนัง และในอวัยวะส่วนต่างๆ การแท้งค้างหากดูแลรักษาไม่ทันและไม่ดีพอ คุณแม่อาจเสียชีวิตลงได้

พ่อครับ ทำไมไม่มีแม่

สัญชาตญาณของความเป็นพ่อ ถึงแม้จะเป็นผู้ชาย แต่พอคุณได้มาทำหน้าที่ของพ่อแล้ว คุณจะมีสัญชาตญาณความเป็นพ่อ เหมือนกับที่ผู้หญิงมีสัญชาตญาณความเป็นแม่ ฉะนั้นคุณควรที่จะเอาสิ่งที่คุณมีอยู่ในตัวมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับลูก

ปัจจุบันนี้มีอยู่ไม่น้อยที่หลายครอบครัว ที่คุณพ่อต้องเลี้ยงลูกคนเดียวหรือที่เรียกกันว่าคุณพ่อใบเลี้ยงเดี่ยว แต่คุณก็สามารถสร้างครอบครัวให้มีความสุขได้เหมือนกับครอบครัวที่มีครบทั้ง พ่อ แม่ ลูก ได้เช่นเดียวกัน

พ่อ คำๆ นี้ หลายคนมักที่จะนึกถึงภาพที่พ่อแค่ออกไปทำงานนอกบ้าน มีเวลาให้ลูกแบบเต็มที่ก็แค่วันหยุดเสาร์ อาทิตย์ แทบที่จะไม่ได้ทำหน้าที่เหมือนอย่างที่แม่ทำ เช่น ทำกับข้าวเตรียมอาหารให้ลูก ซักผ้า อ่านนิทานก่อนนอนให้ลูกฟังฯลฯ แต่หากวันนึงคุณต้องทำหน้าที่ทุกอย่างนี้ที่ต้องเป็นทั้งพ่อ และแม่ด้วยไปพร้อมๆ กัน คุณจะทำอย่างไร ที่สำคัญหากคุณต้องเจอคำถามที่ลูกถามคุณว่า พ่อครับ ทำไมผมไม่มีแม่เหมือนเพื่อนๆ ที่โรงเรียน พ่อครับแม่หายไปไหน คุณจะตอบอย่างไรเพื่อไม่ให้ลูกต้องคิดมาก หรือเคลือบแคลงใจอยู่ตลอดเวลาที่เจอเพื่อนๆ ที่โรงเรียนมีแม่มารับ-ส่ง ทุกครั้ง

หากต้องเจอคำถามแบบนี้ ขอให้คุณพ่อตั้งสติและให้มั่นใจด้วยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณก็ได้ทำหน้าที่ของพ่อและแม่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และเต็มที่อย่างดีที่สุดแล้ว เพื่อเป็นแรงใจ และพลังในการต่อสู้เพื่อลูกต่อไปได้ เด็กๆ หลายคนอาจเกิดมาแล้วเจอแต่คุณพ่อคนเดียวไม่มีคุณแม่ แต่ก็ยังดำเนินชีวิตมาได้ตลอด ชีวิตก็ไม่ได้ขาดสิ่งใดไป แต่หากวันนึงเขาได้รู้ว่าการที่เขาจะเกิดขึ้นมาได้นั้นก็ต้องมีแม่เป็นผู้ให้กำเนิด คำถามมากมายร้อยแปดย่อมที่จะผุดขึ้นมาในใจอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในช่วงวัยอนุบาลจนถึงปฐมต้น เป็นช่วงที่คุณพ่อจะต้องทำความเข้าใจกับลูกมากเป็นพิเศษ เพราะถ้าเขาโตขึ้นกว่านี้เขาอาจไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาแตกต่างกับเพื่อน จนกลายเป็นปัญหาครอบครัวได้

ดังนั้นถ้าลูกถามคุณว่า แม่หายไปไหน ทำไมไม่มีแม่เหมือนคนอื่น คุณพ่อควรที่จะพูดคุยกับลูกด้วยความเข้าใจค่อยๆ ให้คำตอบพร้อมการอธิบายที่มีเหตุและผล คุณอาจจะบอกกับลูกได้ในกรณีที่คุณต้องสูญเสียภรรยาไปตั้งแต่ลูกยังเล็กนั้นเพราะอะไร คุณอาจจะหาภาพถ่ายที่มีทั้งคุณ กับภรรยาและลูก มาให้เขาดูทุกครั้งที่มีคำถามเรื่องแม่ ภาพถ่ายจะอธิบายอะไรในตัวมันเองได้มากมาย ที่สำคัญคุณควรที่จะสร้างทัศนคติที่ดีเกี่ยวแม่ให้กับลูกด้วย เพราะความทรงจำที่สวยงามย่อมดีกว่าความทรงจำที่เลวร้าย พร้อมป้องกันไม่ให้ เกิดความห่างเหินขึ้นในอนาคตระหว่างพ่อกับลูกหรือลูกไม่ไว้ใจพ่อ ควรที่จะเริ่มปรับตัวเข้าหากันตั้งแต่ตอนที่ลูกยังเล็ก หากิจกรรมที่สามารถมีส่วนร่วมได้ด้วยกันทั้งคุณและลูก เช่น ไปรับ-ส่ง ที่โรงเรียน, อาบน้ำด้วยกัน, ทำกับข้าวทานข้าวด้วยกัน, อ่านนิทานก่อนนอนให้ลูกฟัง, พูดคุยกับลูกทุกเรื่อง เพื่อเป็นการเปิดใจว่าหากเขามีปัญหาอะไรก็ตาม เขาสามารถที่จะคุยกับพ่อได้ทุกเรื่องเช่นกัน ในเวลาเดียวกันคุณพ่อต้องเป็นได้ทั้งพ่อ แม่ และเพื่อนของลูกด้วย ไม่ว่าอุปสรรคที่จะต้องเจอในวันข้างหน้าจะหนักหนาสักเท่าไหร่ ก็ขอเป็นกำลังใจให้คุณพ่อใบเลี้ยงเดี่ยว สู้สู้ต่อไปให้ได้

ผาดโผนเกินไปหรือเปล่านะ

เด็กๆ แต่ละคนล้วนมีความหลากหลายแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด บางคนชอบสนุก บางคนเรียบร้อย บางคนชอบความตื่นเต้น เร้าใจ แต่บางคนก็ขี้ตกใจ ขี้กลัว ดังนั้นการเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กร่าเริงสนุกสนาน สดใส มีชีวิตชีวา ย่อมเป็นการสร้างรากฐานชีวิตที่ดีให้กับลูกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกน้อยวัย 1-2 ปี ซึ่งช่วงนี้ลูกจะเป็นตัวของตัวเองที่สุด เขาจะมีพัฒนาการอยากรู้ อยากเห็น อยากทดสอบความสามารถของตนเอง ซึ่งการตามใจและยอมลูกมากจนเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอันตรายกับลูกได้
แต่ในทางกลับกันการห้ามมากเกินไป ดุมากไปจนลูกหงอไม่กล้าทำอะไร ก็จะไปขัดขวางการเรียนรู้ของลูกให้หยุดชะงักอยู่แค่นั้น และสุดท้ายก็ไม่เกิดผลดีใดๆ กับลูกเลย

Problem

แต่คุณพ่อคุณแม่บางท่านอาจเกิดคำถามขึ้นมาว่า ทำไมลูกเราชอบเล่นอะไรที่รุนแรง หรือชอบเล่นพิเรนทร์ที่เด็กคนอื่นเขามักจะไม่เล่นกัน ซึ่งสาเหตุที่เด็กบางคนชอบเล่นรุนแรง ผาดโผน ยับยั้งตัวเองไม่ได้ อาจเป็นเพราะ

1. เป็นช่วงพัฒนาการปกติในวัย 1-2 ปี ที่เด็กยังไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ดีนัก เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง ทำตามความพอใจของตนเองเป็นหลัก
2. การเลี้ยงดูที่ยอมเด็กมากเกินไป เนื่องจากกลัวเด็กอาละวาด ร้องไห้ จนเด็กกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจตัวเอง
3. มีต้นแบบของความรุนแรงหรือไม่ยับยั้งตนเอง
4. มีผู้ส่งเสริมความก้าวร้าว ผาดโผน หรือมีคนเชียร์ คอยชื่นชมเวลาที่ทำอะไรแผลงๆ
5. หรือเด็กมีความบกพร่องในการทำงานของสมอง ทำให้การควบคุม ยับยั้งตนเองทำได้น้อยลง

Solution

ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรสังเกตลูกน้อยอย่างใกล้ชิด ว่าสาเหตุที่ทำให้ลูกน้อยชอบเล่นผาดโผน เล่นแบบรุนแรงนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร จากนั้นก็แก้ปัญหาให้ตรงจุดดังนี้

1. หากมองว่าเป็นช่วงพัฒนาการปกติในวัย 1-2 ปี ที่เด็กยังไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ดีนัก คุณพ่อคุณแม่ก็ควรเป็นคนให้คำแนะนำลูกเกี่ยวกับการเล่น กฎกติกา และวิธีการเล่นที่ถูกต้อง
2. หากเกิดจากการเลี้ยงดูของคุณพ่อคุณแม่เองที่ยอมลูก ตามใจลูกมากจนเกินไป ก็ควรลด ละ เลิกพฤติกรรมนั้นเสียก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป การฝึกสอนที่มีกฎเกณฑ์ ขอบเขตที่ให้โอกาสลูกทำสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจน และการฝึกอย่างสม่ำเสมอจะช่วยได้ เช่น ถ้าลูกเล่นเกินขอบเขตต้องหยุดเล่น หรือหยุดพฤติกรรมของลูกให้ได้ ถึงลูกจะเสียใจ ร้องไห้ ก็อย่าเอาใจใส่หรือให้ความสนใจ จากนั้นให้เบี่ยงเบนความสนใจลูกออกไปและไม่ตามใจลูก
3. หากพฤติกรรมการเล่นแบบผาดโผนเกิดจากการที่มีต้นแบบของความรุนแรงให้ลูกเห็น คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกหัดยับยั้งอารมณ์ของตัวเอง และการที่จะฝึกสอนลูกได้คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเป็นแบบอย่างให้ลูกเห็นอยู่ตลอดเวลาด้วย
4. งดการส่งเสริมความก้าวร้าว ผาดโผน หรือคอยเชียร์ คอยชื่นชมเวลาที่ลูกทำอะไรแผลงๆ ยิ่งมีผู้ใหญ่ชื่นชมบ่อยๆ ลูกอาจทำจนติดเป็นนิสัย และเข้าใจผิดคิดว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้องแล้ว
5. หากสงสัยว่าพฤติกรรมของลูกเกิดจากความบกพร่องในการทำงานของสมอง คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปพบกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กเพื่อขอคำปรึกษา และหาวิธีแก้ไขต่อไปค่ะ

ปลูกรักในใจลูก

ทักษะพื้นฐานของการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขนั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะสอนกันได้เสมอไป เพราะเป็นนามธรรม ที่ไม่เหมือนกับการสอนลูกให้เขียนหนังสือหรือสอนลูกให้เก็บของเล่น ดังนั้นการปลูกรักในใจลูกต้องให้เขาได้เรียนรู้ว่า หากต้องการความรัก คุณต้องมอบความรักก่อน หรือ หากต้องการให้คนอื่นมีน้ำใจกับเรา เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะแบ่งปันสิ่งต่างๆ ให้ผู้อื่นด้วย

1. Show a Little bit of Kindness แสดงให้ลูกเห็นว่าคุณก็เห็นอกเห็นใจบุคคลรอบกาย ด้วยการใส่ใจ และห่วงใยความเป็นไปของกันและกัน เริ่มง่ายๆ จากคนในครอบครัว หากว่าคุณย่าคุณยายไม่สบาย คุณก็อาจจะชวนลูกทำข้าวต้มไปเยี่ยม คุณพ่อบ้านก็อาจจะแสดงความมีน้ำใจต่อคุณแม่ด้วยการชวนลูกๆ อาสาทำความสะอาดบ้านให้ในวันหยุด เมื่อความมีน้ำใจให้แก่กันเกิดขึ้นภายในบ้านของคุณจนกลายเป็นกิจวัตรแล้ว สิ่งดีๆ เหล่านี้ก็จะส่งผ่านไปยังสังคมที่คุณอยู่โดยอัตโนมัติ คุณพ่อคุณแม่ต้องระลึกไว้อยู่เสมอว่า สิ่งดีๆ ในสังคมจะเกิดขึ้นได้ ต้องเริ่มต้นจากภายในครอบครัวก่อน

2. Respect to the Earth การห่วงใยโลกใบนี้ซึ่งพวกเราอาศัยอยู่ก็เป็นสิ่งที่คุณควรทำให้ลูกเห็นความสำคัญ เริ่มง่ายๆ จากการทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทาง หากคุณหรือลูกบังเอิญทำเศษกระดาษตกพื้น ก็อย่าละเลยที่จะเก็บเศษกระดาษนั้นไปทิ้งให้ถูกที่ นอกจากความรู้สึกดีที่คุณจะรู้สึกได้จากการกระทำนี้แล้ว เจ้าตัวเล็กที่เฝ้ามองคุณอยู่ก็ได้เรียนรู้สำนึกที่ดีไปพร้อมกันด้วย แต่หากคุณคิดว่า ทิ้งตรงไหนก็ได้ เดี๋ยวคนกวาดขยะไม่มีงานทำ หรือ ไม่ใช่หน้าที่ของฉันต้องเก็บขยะ แต่อย่างน้อยๆ ก็น่าจะคิดว่าการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกนั้นเป็นหน้าที่ซึ่งพ่อแม่ที่ดีควรกระทำ

3. Assign Duties เด็กๆ ควรได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจว่าความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ นั้นเป็นสิ่งที่ครอบครัวต้องการ เพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว และเราต่างอาศัยอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน อย่างเช่น สอนให้ลูกเก็บที่นอนหลังจากตื่นนอนไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินทำได้ หรือการสอนลูกให้รดน้ำต้นไม้ คุณอาจทำตารางหน้าที่ความรับผิดชอบของลูกติดไว้ในที่ที่เห็นได้ชัด เมื่อลูกทำตามหน้าที่ในแต่ละวันได้สำเร็จ ติดสติกเกอร์สวยๆ เพื่อสะสมแต้ม และเมื่อทำหน้าที่ได้ครบทั้งสัปดาห์ก็รับรองได้ว่าลูกๆ ต้องภูมิใจกับสิ่งที่เขาได้ช่วยทำแน่นอน

4. Share Your Stuffs หากตู้หนังสือที่บ้านเริ่มเต็มหรือมีใส่เสื้อผ้าไม่ได้ ชวนเจ้าตัวเล็กแบ่งปันสิ่งเหล่านี้ให้กับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้านหรือบริจาคให้กับผู้ที่ขาดแคลน สิ่งนี้เป็นบทเรียนแห่งการแบ่งปันบทแรกๆ ที่คุณและลูกสามารถทำได้ง่ายมากๆ

5. Look Through the World with Love ในโลกแห่งข้อมูลข่าวสารและการแข่งขันอย่างทุกวันนี้ เป็นไปได้มากที่เจ้าตัวเล็กจะรู้สึกว่าโลกรอบตัวของเขาช่างโหดร้ายและอันตราย คุณควรจะชี้ชวนให้ลูกมองสิ่งดีๆ ของโลกใบนี้ สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการรวมตัวกันของเยาวชนเพื่อช่วยเหลือคนพิการ หรือคุณอาจจะตัดข่าววิวัฒนาการใหม่ๆ การค้นพบต่างๆ ที่น่าสนใจมาพูดคุยกับลูก ให้หนูน้อยได้รู้สึกว่าในโลกใบนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากมาย ไม่ใช่เพียงแค่ความโหดร้ายที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ผ่านสื่อเท่านั้น

6. Willing to Help ให้ลูกเห็นว่าคุณทำสิ่งที่นอกเหนือไปจากหน้าที่ของคุณ เช่น ยินดีช่วยเหลือหากเพื่อนบ้านต้องการความช่วยเหลือ รับฝากดูแลสุนัขขณะที่เพื่อนต้องไปต่างจังหวัด เสนอตัวเป็นครูอาสาสมัครช่วยสอนพิเศษเด็กๆ ในโรงเรียนของลูก หรือชวนลูกไปอ่านหนังสือให้กับคนตาบอด การที่คุณเสียสละเวลาของคุณทำสิ่งต่างๆ เพื่อคนอื่นอย่างเต็มใจ และมีความสุขนี้ ไม่เพียงแต่ลูกจะภูมิใจในตัวคุณ แต่เขายังมองคุณเป็นแบบอย่างในการทำความดีอีกด้วย

7. Say Thanks คุณควรฝึกพูดคำว่าขอบคุณและขอบใจให้เป็นนิสัย แม้กระทั่งกับลูกของคุณเอง เมื่อใดก็ตามที่ลูกทำสิ่งดีๆ ให้อย่าลืมที่จะแสดงให้เจ้าตัวเล็กรับรู้ว่าคุณซาบซึ้งในสิ่งที่เขาทำให้ โดยการกล่าวคำขอบคุณอย่างจริงใจ ทั้งนี้รวมไปถึงคนรอบๆ กาย ตั้งแต่พนักงานเสิร์ฟอาหาร คนขับรถ ฯลฯ เพราะบางครั้งเพียงแค่การแสดงความซึ้งใจและคำขอบคุณเพียงคำเดียว ก็อาจทำให้คนบางคนมีกำลังใจทำงานไปได้ทั้งวัน

นอนถูกท่าช่วยพัฒนาการเรียนรู้

จากการศึกษาของนักการศึกษาและนักจิตวิทยาพัฒนาการของประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าท่านอนสามารถส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กได้ ดังนั้นถ้าคุณจัดให้ลูกได้นอนในท่าที่เหมาะสมก็จะช่วยส่งเสริมให้ลูกสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการจัดท่านอนให้ลูกคือ ระดับพัฒนาการตามวัยของลูก โดยสามารถทำได้ ดังนี้

ช่วงอายุแรกเกิด 3 เดือน : ลูกสามารถเอียงคอไปมาได้ แต่ยังชันคอได้ไม่ดีนัก

ท่านอนที่เหมาะสม ควรจัดให้ลูกนอนหงายหรือนอนตะแคง เพื่อให้ลูกสามารถมองเห็นสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ง่ายขึ้น เนื่องจากกล้ามเนื้อคอของลูกยังไม่แข็งแรง การเคลื่อนไหวของคอจึงเป็นลักษณะหันไปมาซ้าย-ขวา ดังนั้นการให้ลูกนอนหงายหรือนอนตะแคงจึงเป็นท่านอนที่เหมาะสม มากที่สุด ไม่ควรให้ลูกนอนคว่ำโดยที่ไม่มีคนดูแลใกล้ชิด เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายที่เรียกว่า ภาวะ SIDS (Sudden Infant Death Syndrome) ที่อาจทำให้เด็กเสียชีวิตได้
นอกจากนี้จากการศึกษายังพบว่าเด็กที่ถูกจับให้นอนคว่ำจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้น้อยกว่า และเมื่อโตขึ้นจะมีความช่างสังเกตน้อยกว่าเด็กที่นอนหงาย ส่วนสิ่งแวดล้อมที่ควรจัดให้ลูกในช่วงนี้ควรเป็นภาพหรือของเล่นที่มีสีสันสดใสและมีเสียง อาจเคลื่อนไหวในแนวนอนหรือแนวราบก็ได้

ช่วงอายุ 4-6 เดือน : กล้ามเนื้อคอที่แข็งแรงมากขึ้น ลูกจึงสามารถชันคอ ยกศีรษะ และหันหน้าไปมาได้ดีขึ้น

ท่านอนที่เหมาะสม ท่านอนที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของลูกได้ดีคือ ท่านอนคว่ำ ลูกจะชอบยกศีรษะขึ้นมองสิ่งของที่อยู่ตรงหน้า และก้มหน้าลงมองภาพหรือของเล่นที่อยู่บนพื้น ดังนั้นสิ่งแวดล้อมที่ควรจัดให้ลูกในช่วงวัยนี้จึงควรเป็นผ้าปูที่นอนที่มีสีสันสดใส มีลวดลายที่ไม่ซับซ้อนมากเกินไป และควรแขวนของเล่นที่มีเสียงและเคลื่อนไหวได้ทั้งในแนวดิ่งและแนวราบเอาไว้ให้ลูกดูด้วย และหากทารกอยู่ในท่านอนคว่ำ ต้องมีคนดูแลใกล้ชิดและลักษณะที่นอน หมอนต้องไม่นุ่มนิ่มจนมีปัญหาการอุดกั้นทางเดินหายใจได้

ช่วงอายุ 6 เดือนขึ้นไป : สามารถเคลื่อนไหวศีรษะ คอ ไหล่ แขน ขา และหลังส่วนบนได้ดี พลิกตัวไปมาได้

ท่านอนที่เหมาะสม ท่านอนที่ส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับลูกวัยนี้สามารถทำได้หลายแบบ โดยมักขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณต้องการให้ลูกเรียนรู้ โดยอาจให้ลูกนอนหงาย กึ่งนั่งกึ่งนอน นอนตะแคง หรือนอนคว่ำ สิ่งแวดล้อมที่ควรจัดให้ลูกเรียนรู้ควรเป็นของเล่นที่เคลื่อนไหวในแนว 360 องศา

Tips.Sweet dream

ให้ลูกเข้านอนเป็นเวลา พยายามจัดตารางการเข้านอนของลูก รวมไปถึงกิจกรรมต่างๆ ของลูกให้เป็นเวลา และทำให้เป็นกิจวัตรประจำวันอย่างสม่ำเสมอ วิธีจะช่วยให้เด็กๆ คุ้นเคย จดจำและยอมปฏิบัติตามง่ายขึ้น เช่น หลังจากคุณพ่อเล่านิทานให้ฟังที่เตียงนอนจบแล้วก็ถึงเวลาเข้านอน

สอนให้ลูกรู้จักกลางวันกลางคืน ช่วงกลางวันไม่ควรปล่อยให้ลูกนอนอย่างเดียว แต่ควรเล่นหยอกล้อและสร้างกิจกรรมต่างๆ ให้ลูกทำ ส่วนช่วงกลางคืนต้องพยายามสร้างบรรยากาศเงียบสงบ ไม่เปิดไฟสว่าง พยายามลดกิจกรรมลง พูดเสียงเบา เพื่อให้ลูกเรียนรู้ว่าเวลากลางคืนเป็นเวลาของการนอนหลับพักผ่อน

ให้ลูกนอนหลับได้ด้วยตัวเอง เวลาที่พาลูกเข้านอนคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรใช้วิธีอุ้มเขย่า พานั่งรถเข็น รถยนต์ หรือให้ดูดนมเพื่อกล่อมถึงจะยอมหลับ เพราะวิธีเหล่านี้จะทำให้ลูกติดและเคยตัวจนต้องทำแบบนั้นต่อไปจนโตถึงจะหลับได้ หากจะกล่อมก็อาจจะเป็นเพียงการร้องเพลงกล่อม ลูบเนื้อลูบตัวบนเตียง ถ้าจะอุ้มกล่อมก็ควรจะวางลูกบนที่นอนเมื่อเห็นว่าง่วงแต่ยังไม่หลับ จะเป็นการช่วยฝึกให้ลูกรู้ว่าเตียงคือที่นอน และตัวเขาสามารถหลับเองได้โดยไม่ต้องอาศัยอะไรมาช่วย

ไม่รีบอุ้มหรือป้อนนมเข้าปากลูกทันทีเมื่อร้อง อย่าเพิ่งถลาเข้าไปอุ้มลูกทันทีทุกครั้ง เมื่อขยับตัวหรือส่งเสียงร้องบนเตียง ลองปล่อยสัก 2-3 นาที ลูกอาจจะเงียบเสียงและหลับต่อไปได้ และการที่ลูกตื่นมาร้องไม่ได้แปลว่าลูกจะหิวเสมอไป ไม่จำเป็นต้องเอาอะไรเข้าปากเขาแม้กระทั่งนมแม่ ลองฝึกกล่อมให้เค้าหลับต่อไปให้ได้ อาจจะร้องอยู่สัก 3-4 วัน ก็จะเคยชินกับการหลับยาวทั้งคืน ถ้าเข้าไปอุ้มหรือให้กินนมทุกครั้งที่ตื่นลูกก็จะชินแบบนั้น แต่การที่ตื่นขึ้นมา แล้วมีคุณพ่อคุณแม่อยู่ใกล้ๆ ก็จะช่วยเรื่องความอบอุ่นทางด้านจิตใจของลูกได้

ทำไม...นมแม่ดีที่หนึ่งเลย

น้ำนมแม่เป็นสิ่งวิเศษสุดที่ธรรมชาติสรรค์สร้างมา มีประโยชน์ช่วยให้ลูกน้อยเจริญเติบโตเป็นเด็กที่แข็งแรง ร่าเริงสมวัย ช่วยพัฒนาทั้งร่างกาย สมองและสติปัญญาของลูกน้อย นอกจากนี้การให้นมแม่ยังเป็นการเพิ่มคุณค่าความผูกพันลึกซึ้งทางใจระหว่างแม่กับลูกยิ่งนัก

ผลดีของการให้ลูกดูดนมแม่
มดลูกเข้าอู่เร็ว
ป้องกันภาวะตกเลือดหลังคลอด
รูปร่างกลับสู่ภาวะเดิมได้เร็ว
การให้ลูกดูดนมแม่อย่างต่อเนื่อง จะช่วยเว้นระยะห่างของการตั้งครรภ์ได้
ลดอัตราการเกิดของมะเร็งเต้านม

ประโยชน์ของนมแม่ที่มีต่อลูก
สด สะอาด สะดวก ประหยัดและปลอดภัย
มีสารอาหารครบถ้วนและมีแร่ธาตุบำรุงสมองมากกว่านมวัว มีปริมาณของเกลือน้อยกว่านมวัวถึง 4 เท่า
ย่อยง่าย ดูดซึมได้ดี ไม่มีของเสียคั่งค้าง
มีภูมิคุ้มกันโรค ป้องกันไม่ให้เด็กติดเชื้อหวัด ท้องเดินหรือปอดอักเสบ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นภูมิแพ้
ลดความเสี่ยงต่อการแพ้นมวัว
เด็กดื่มนมแม่จะอ้วนน้อยกว่านมวัว
ส่งเสริมความผูกพันรักใคร่ในแม่และเด็ก

เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ต้องเตรียมตัวอย่างไร
แม่ควรตรวจเต้านมดูว่ามีความผิดปกติหรือไม่ โดยเฉพาะหัวนมแบนหรือสั้นกว่าปกติ ซึ่งจะต้องทำการนวดหรือดึงหัวนมให้ยืดออกมาตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์ โดยใช้นิ้วสองนิ้วกดบริเวณด้านข้างของหัวนมดันให้หัวนมโผล่ขึ้นมาและรูดออกไปทางด้านข้าง ทำสลับทั้งด้านบนและด้านล่าง แต่ในระยะใกล้คลอดควรงดการนวดกระตุ้น เพราะอาจจะทำให้มดลูกเกิดการหดตัวแรงขึ้น และมีผลทำให้มีโอกาสคลอดก่อนกำหนดได้
ภายหลังคลอดแม่จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ประกอบกับการดูดกระตุ้นของลูก จะทำให้มีการสร้างน้ำนมทันที เต้านมใหญ่หรือเล็กจะมีจำนวนของต่อมน้ำนมไม่แตกต่างกัน ต่อมน้ำนมจะอยู่เป็นกลุ่มประมาณ 10-15 กลุ่ม รอบๆ ต่อมน้ำนมจะมีเซลล์ลักษณะพิเศษซึ่งสามารถหดรัดตัวได้ ทำหน้าที่บีบน้ำนมออกจากต่อมน้ำนม ให้ไหลออกมาตามท่อน้ำนมมายังบริเวณที่เก็บกักน้ำนมซึ่งอยู่บริเวณใต้ลานนม
เมื่อเด็กดูดนมแม่ น้ำนมจะถูกบีบไหลออกมาทางรูเปิดของน้ำนม เมื่อเด็กดูดนมจะกระตุ้นบริเวณหัวนมแม่ ซึ่งจะส่งผลไปยังต่อมใต้สมองของแม่ให้หลั่งฮอร์โมนออกมา 2 ชนิด ได้แก่ ฮอร์โมนที่ช่วยในการสร้างน้ำนม (โปรแลคติน) และฮอร์โมนที่ช่วยในการหลั่งน้ำนมอย่างต่อเนื่องได้ (อ๊อกซิโตซิน) การให้เด็กดูดนมแม่ทุก 2-3 ชั่วโมง และดูดนานพอในแต่ละครั้งจะช่วยให้ฮอร์โมนนี้มีระดับสูงอยู่เสมอ แม่ก็จะมีน้ำนมมากพอสำหรับลูก


คุณแม่จำนวนมากยังมีความกังวลเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ไม่รู้จะอุ้มลูกท่าไหน ให้นมอย่างไร ให้แล้วลูกไม่ดูดนมหรือดูดนมได้น้อย แบบนี้เลยหงุดหงิดใจทั้งคุณแม่คุณลูก อย่าเพิ่งท้อเพราะปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นได้กับคุณแม่มือใหม่ทุกคน มาดูกันว่าแต่ละท่าที่ถูกต้องต้องทำอย่างไร

1. ท่านอนขวางบนตัก
หาหมอนมาช่วยพยุงหลัง รองใต้แขนและวางบนตักเพื่อให้เกิดความสบายขณะให้นมลูก
อุ้มลูกนอนในท่าตะแคง ท้องของลูกแนบชิดกับท้องของคุณ ใบหน้าของลูกเงยขึ้นจนมองเห็นหน้าคุณ ในกรณีที่ลูกดูดนมด้านขวาลำตัวของลูกจะอยู่บนท่อนแขนขวาของคุณ และให้ใช้มือขวากุมกระชับก้นลูกเอาไว้

2. ท่าฟุตบอล
หาหมอนมาวางซ้อนกันด้านข้างลำตัวของคุณ โดยให้ความสูงของหมอนเมื่อวางลูกลงไปแล้วอยู่ในระดับเต้านมของคุณ
วางลูกลงบนหมอนแล้วโอบกระชับลูกเข้ากับสีข้างด้านที่คุณต้องการจะให้นม โดยจัดให้ลูกนอนในท่ากึ่งตะแคง กึ่งนอนหงาย เท้าชี้ไปด้านหลัง
ใช้ฝ่ามือด้านเดียวกับเต้านมประคองท้ายทอยและหลังของลูกเอาไว้

3. การให้นมในที่สาธารณะ
ในร้านอาหารหรือห้างสรรพสินค้าบางแห่งจะจัดสถานที่สำหรับให้นมโดยเฉพาะไว้บริการ หากไม่มีคุณสามารถสอบถามเจ้าหน้าที่ เพื่อขอใช้สถานที่ที่สงบเงียบและไม่พลุกพล่านภายในบริเวณนั้นๆ แทน
พาดผ้าขนหนูข้ามหัวไหล่ไว้
อุ้มลูกพาดทับผ้าขนหนูที่วางพาดหัวไหล่ไว้ แล้วเอาผ้าที่อยู่ด้านหลังมาโอบตัวลูกไว้
โดยคอยดึงให้ผ้ายังคงปกคลุมทรวงอกของคุณแม่ไว้
ทั้งท่านอนขวางบนตัก และท่าฟุตบอลเป็นท่าที่เหมาะในการให้นมลูกในที่สาธารณะ เพราะทั้ง 2 ท่านี้คุณจะสามารถกางผ้าขนหนูคลุมจากบริเวณหัวไหล่ของคุณลงมาปิดบริเวณศีรษะของเจ้าตัวเล็ก รวมถึงหน้าอกที่เปิดออกให้ลูกได้ดูดด้วย โดยคุณควรเลือกผ้าขนหนูที่ผืนไม่ใหญ่มากนักและไม่ควรปิดหน้าของลูกจนมิดเกินไป

การให้นมถูกท่าจะช่วยให้สบายตัวสบายใจทั้งคุณแม่และคุณลูก คุณแม่ก็ไม่เมื่อย น้ำนมก็ไหลคล่อง คุณลูกก็มีความสุขเพราะมีน้ำนมไหลให้กินเต็มอิ่ม อิ่มแล้วก็นอนหลับสบาย ตื่นมาก็อารมณ์ดี พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ทุกวัน

Mother Support : ปรึกษาปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ถนนราชวิถี เขตราชเทวี ชั้น 11 ตึกอาคารสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรุงเทพมหานคร โทร. 0-2354-8404 ต่อ 11 Fax: 0-2354-8409 http://www.thaibreastfeeding.org

วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2556

อีสุกอีใส ต้องใช้วัคซีนหรือเปล่านะ

ช่วงปลายฝนต้นหนาวอย่างนี้ นอกไปจากโรคไข้หวัด ไอ จาม น้ำมูกไหลแล้ว ก็ยังมีอีกโรคหนึ่งที่พบได้บ่อยในช่วงนี้ของปี นั่นก็ได้แก่ โรคอีสุกอีใส แต่ก่อนนั้นใครๆ ก็ต้องเคยผ่านประสบการณ์เป็นโรคอีสุกอีใสทั้งนั้น เรียกได้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตที่เราต้องเจอะเจอเลยก็ว่าได้ แต่เมื่อวิวัฒนาการทางการแพทย์ก้าวหน้า เราก็ได้มีวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้คุณพ่อคุณแม่ แต่ก่อนจะตัดสินใจว่าลูกน้อยของเราควรได้รับวัคซีนนี้หรือเปล่า เรามีข้อมูลมาฝากกันค่ะ

รู้จักกับโรคก่อนฉีดวัคซีน

โรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่เราได้ยินได้ฟังกันมาตั้งแต่เด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่ก็เคยเป็นโรคนี้กันมาแล้ว ประมาณ 90% ของผู้ที่ยังไม่เคยเป็นอีสุกอีใส จะเป็นอีสุกอีใสหลังจากการได้รับเชื้อจากคนอื่น โดยจะเริ่มมีอาการขึ้นตุ่มในช่วงระหว่าง 7-21 วัน หลังสัมผัสเชื้อ (ส่วนใหญ่จะประมาณ 14-17 วัน) ซึ่งเมื่อมีเด็กในบ้านคนหนึ่งป่วยเป็นอีสุกอีใส ก็จะพบว่าพี่น้องและคนอื่นๆ ในบ้านก็จะเริ่มมีอาการอีสุกอีใสในช่วง ประมาณ 2 อาทิตย์ต่อมา โดยจะพบบ่อยในเด็กวัยเข้าเรียนช่วงอายุ 5-9 ปี หลังจากหายแล้วคนไข้ส่วนใหญ่จะมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต
เด็กส่วนใหญ่ที่เป็นอีสุกอีใสจะมีอาการไม่มากทำให้สามารถดูแลที่บ้านได้ ในการดูแลเรื่องไข้ ควรให้แต่ยาพาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยาแอสไพริน เพราะมีรายงานว่าอาจทำให้เกิดกลุ่มอาการ Reye's syndrome ซึ่งอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ ถ้ามีอาการคันมาก ควรให้อาบน้ำด้วยน้ำอุ่นสบาย และใช้สบู่อ่อนๆ จะรู้สึกสบายตัวขึ้น และเป็นการลดการติดเชื้อแทรกซ้อนของผิวหนัง ไม่ควรเช็ดตัวแรงๆ แต่ให้ใช้ผ้าซับเบาๆ ไม่ควรทาโลชั่น เพราะอาจทำให้ติดเชื้อได้ง่าย ควรตัดแต่งเล็บให้สั้น เพราะเมื่อเด็กคันจะเกามาก ทำให้เกิดการติดเชื้อแทรกซ้อน และเป็นแผลเป็นได้

อีสุกอีใส จำเป็นไหมต้องฉีดวัคซีน

การฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสก็สามารถป้องกันการเกิดโรคได้ 70-90 % แต่หากว่าฉีดวัคซีนแล้วเกิดมีอาการอีสุกอีใสขึ้นมาก็จะมีอาการไม่มากและจะหายได้เร็วกว่าปกติ แต่สำหรับครอบครัวไหนคิดว่าไม่จำเป็นต้องฉีด เพราะคุณมีเวลาดูแลลูกเต็มที่ นั่นก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะโรคนี้ก็ไม่ได้มีอาการร้ายแรงมากแต่อย่างใด

วัคซีนอีสุกอีใส ฉีดเมื่อไรดี

เด็กวัย 1 12 ปี ที่ยังไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสอาจขอรับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสได้ โดยจะฉีดเพียงเข็มเดียว สำหรับเด็กโตวัย 13 ปีขึ้นไป อาจต้องฉีด 2 เข็มโดยเว้นระยะการฉีดวัคซีนให้ห่างกันประมาณ 1 เดือน ทั้งนี้ขณะที่พาลูกไปรับวัคซีนต้องแน่ใจว่าลูกไม่ได้มีไข้ปานกลาง ถึงไข้สูง และไม่ได้แพ้ยา neomycin หรือสาร gelatin อย่างไรก็ตามในประเทศไทย แพทย์มักจะแนะนำให้เด็กอายุ 10 ปีขึ้นไปที่ยังไม่เคยเป็นโรค ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคอีกสุกอีใส เพราะพบว่าโรคนี้หากเป็นเมื่ออายุมากขึ้น ก็มีความเสี่ยงที่จะมีอาการแทรกซ้อนเพิ่มขึ้น
อาการแทรกซ้อนหลังฉีดวัคซีน เด็กๆ ส่วนใหญ่ที่ได้รับวัคซีนอีสุกอีใสไม่พบปัญหาร้ายแรงใดๆ อาจมีบ้างในบางราย ที่มีอาการระคายเคือง ปวด แดง หรือ บวม ในบริเวณที่ฉีด พบได้บ่อย 1 ใน 5 ราย หรือเกิดผื่นบางๆ หรือรอยบวม พบได้ประมาณ 3 - 4 ใน 100 ราย แต่น้อยกว่า 1 ใน 1,000 ราย จะมีอาการการปวดเมื่อยตามตัวเนื่องจากอาการไข้

อีสุกอีใส กับความจริงที่ควรรู้

เมื่อลูกเป็นอีสุกอีใส ควรให้ลูกหยุดเรียนจนกว่าจะหายดี แม้จะเห็นว่าลูกไม่มีไข้ แผลตกสะเก็ดแล้วก็ไม่ควรให้ไปเรียนเพราะอาจนำโรคไปติดเพื่อนๆ ได้ เพราะระยะแพร่เชื้อนั้นนับตั้งแต่ 24 ชั่วโมง ก่อนที่ผื่นขึ้นและ 24 ชั่วโมง เมื่อตุ่มแห้งหมด ขณะที่ลูกเป็นอีสุกอีใส สามารถกินอาหารได้ทุกอย่าง ไม่มีของแสลง เพราะร่างกายของผู้ป่วยต้องการสารอาหารที่ครบถ้วนเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยให้ลูกฟื้นตัวได้เร็ว โรคนี้เมื่อเป็นแล้วอาจมีโอกาสเป็นโรคงูสวัสได้ภายหลัง หากร่างกายอ่อนแอหรือมีภูมิต้านทานต่ำ

ราคาของวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส อยู่ที่ประมาณ 1,000 2,000 บาท

mothersdigest.in.th

อย่างไรที่เรียกว่าเติบโตสมวัย

Q : ลูกที่อยู่ในวัยเข้าอนุบาล เราสามารถที่จะสังเกตถึงพัฒนาการของลูกได้ในด้านใดบ้าง ถึงจะเรียกว่าเป็นการเติบโตที่สมวัย

A : ก่อนอื่นขอชื่นชมคำถามของคุณแม่เพราะเป็นคำถามที่ดีมาก เพราะสะท้อนว่าคุณแม่ตระหนักใน บทบาท หุ้นส่วนการศึกษาของลูก ดิฉันขอนำเรียนว่า แหล่งข้อมูลเรื่องพัฒนาการของลูกที่คุณแม่ควรแสวงหาคือ คุณครูของลูก ค่ะ ซึ่งผู้ปกครองทุกคนควรติดตามข้อมูลของลูกจากเอกสารต่างๆ ที่โรงเรียนส่งกลับมาบ้าน ทั้งจดหมายเวียน บันทึกพฤติกรรม บันทึกการตรวจสุขภาพ พอร์ตโฟลิโอ ซึ่งรวบรวมผลงานสะท้อนความก้าวหน้าต่างๆ ของลูกและโดยเฉพาะสมุดรายงานประเมินพัฒนาการลูกแต่ละภาคเรียน (สมัยก่อนเรียกว่าสมุดพก)

ดิฉันขอแนะนำให้คุณแม่นำประเด็นหรือหัวข้อรายการพฤติกรรมพัฒนาการต่างๆ มาเป็นหัวข้อพูดคุย เช่น พัฒนาการด้านร่างกาย จะมีหัวข้อเกี่ยวกับกล้ามเนื้อใหญ่ เล็ก การประสานสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อ การดูแลสุขภาพอนามัย โดยในแต่ละรายการคุณครูจะลงความเห็นว่าลูกทำได้อย่างคล่องแคล่วหรือทำได้เป็นบางครั้งหรือควรเสริม ซึ่งหากลูกต้องเสริมด้านใด คุณครูจะขอความร่วมมือมานะคะ ดังนั้น จึงมั่นใจว่าการดูแลพัฒนาการให้สมวัยเป็นไปได้อย่างแน่นอนค่ะ

สุดท้ายนี้ ดิฉันขอนำเรียนว่าการประเมินพัฒนาการเด็กวัยอนุบาล วิธีการที่ต้องหลีกเลี่ยงคือ การใช้แบบทดสอบกระดาษและดินสอ เพราะไม่สามารถสะท้อนความสามารถและประสบการณ์การเรียนรู้ของเด็กได้อย่างถูกต้องค่ะ

โดย : ดร.วรนาท รักสกุลไทย

เทคนิคการดูแลความสะอาดของเจ้าหนูแรกเกิด

แม้ว่าการทำความสะอาดจะไม่ใช่เรื่องยากในการดูแลเจ้าหนูวัยแรกเกิด แต่ทว่าร่างกายของเจ้าหนูนั้นยังต้องการความละเอียดอ่อนและความละเมียดละไมในการทำความสะอาด เพื่อความหอมสดชื่นและสุขภาพดีที่จะตามมาด้วย

ตา โดยปกติไม่ต้องการยาหรือการรักษาพิเศษ อาจปล่อยไว้เฉยๆ หรือเพียงใช้สำลีชุบน้ำสุกเช็ดจากภายนอก ไม่ควรล้างตาถ้าไม่จำเป็น ธรรมชาติสร้างน้ำตาไว้ล้างเรียบร้อยแล้ว มนุษย์ทุกคนไม่ว่าอายุเท่าใดจึงไม่จำเป็นต้องล้างตา ยกเว้นในการรักษาโรคตาบางชนิด

หู ไม่ต้องการการรักษาพิเศษอย่างใด อาจใช้สำลีพันปลายไม้เช็ดผงหรือขี้หูออกได้ เฉพาะส่วนที่มองเห็น ส่วนที่อยู่ภายในไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดแต่อย่างใด

จมูก อาจใช้สำลีเช็ดได้เช่นเดียวกันกับบริเวณหู

ปาก ปากทารกในระยะแรกนี้ไม่ต้องการการทำความสะอาด โดยเฉพาะถ้าดูดนมแม่ แต่ถ้าดูดนมผสมต้องดูดน้ำล้างคราบนมในปาก มิฉะนั้นอาจมีเชื้อราเกิดขึ้นซึ่งจะเห็นเป็นคราบขาวที่กระพุ้งแก้ม / ลิ้น อาจใช้ยาสีม่วง (Gentian violet) ทา ไม่มีความจำเป็นในทารกปกติ

อวัยวะเพศ ไม่ว่าชายหรือหญิงหลังจากอาบน้ำแล้วเพียงแต่เช็ดให้แห้ง ระวังไม่ให้สกปรก โดยเฉพาะภายหลังจากการถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ ให้ใช้สำลีชุบน้ำสุกเช็ดออกก็เป็นการเพียงพอ การขลิบอวัยวะเพศในเด็กชายตามปกติไม่มีความจำเป็น นอกจากเป็นธรรมเนียมในบางเชื้อชาติและบางศาสนา
ทารกปกติทั่วไปมักจะร้องเวลาปวดปัสสาวะ เมื่อถ่ายออกมาแล้วจะเงียบถือเป็นภาวะปกติ ความเชื่อที่ว่าเมื่อขลิบแล้วจะทำให้พบโรคมะเร็งน้อยลงก็ยังไม่มีผู้พิสูจน์ชัดเจน คำอ้างที่ว่าทำความสะอาดง่ายขึ้นก็ดูจะไม่ตรงนัก เพราะทารกและเด็กก็ไม่ได้มีความสกปรกที่จะต้องทำความสะอาดเป็นพิเศษแต่อย่างใด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญส่วนมากแม้ในประเทศที่มีชนเผ่านิยมขลิบปลายอวัยวะเพศก็ยังแนะนำว่าไม่มีความจำเป็นต้องทำ

เล็บ ควรตัดให้สั้นทุก 3-4 วัน เพื่อป้องกันไม่ให้ขีดข่วนลำตัวหรือหน้า อาจป้องกันด้วยการใส่ถุงคลุมมือทั้ง 2 ข้างก็ได้

เต้านม ทารกปกติไม่ว่าชายหรือหญิง ถ้าครบกำหนดมักจะมีเต้านมที่สามารถจะคลำได้ ในบางคนอาจมีน้ำนม 2-3 หยดไหลออกมาก็ได้ เป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ ไม่ควรไปบีบเล่นเพราะอาจมีอันตรายและเกิดการอักเสบขึ้นได้ ถ้าทิ้งไว้เฉยๆ ก็จะเล็กลงเป็นปกติได้เอง

โลหิตไหลออกทางช่องคลอด อาจพบได้ในทารกหญิงที่ครบกำหนด เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงหลังคลอดของฮอร์โมนเมื่ออายุ 3-4 วัน อาจมีโลหิตออกได้เล็กน้อย จะเป็นอยู่ครั้งเดียวและเป็นปกติ ไม่มีอันตรายหรือต้องรักษาแต่อย่างใด

เจ้าหมาน้อย...พันธุ์ดุ

ข่าวเด็กโดนหมากัด... ไม่เคยห่างเหินไปจากหน้าหนังสือพิมพ์ จากข่าวดังที่หนูน้อยโชกุน (3 ขวบ) กำลังเดินเตาะๆ แตะๆ อยู่ที่หน้าบ้านย่านรามคำแหง จู่ๆ ก็มีเจ้าหมาดำพันธุ์ไทยตัวบิ๊กเบิ้มนามว่า ไอ้แบล็ก วิ่งเข้ามางับน้องโชกุน จนเป็นแผลเหวอะหวะไปทั่วร่าง อาการบาดเจ็บสาหัส

เจ้าหมาเพื่อนรักที่แสนดีที่กลับกลายเป็นไอ้เขี้ยวมหาภัยนั้น จริงๆ แล้วก็ไม่ได้จำกัดว่าเป็นหมาพันธุ์ไหน แต่ที่ต้องระวังให้จงหนักก็คือ หมาพันธุ์ดุระดับโลก ดุ และเหี้ยมขนาดที่ว่าเป็นหมาต้องห้าม และมีคำแนะนำว่าไม่ควรเลี้ยงไว้ในบ้าน แต่หากใครตามข่าวก็จะพบว่ามีคนที่โดนพวกมันขย้ำอยู่เสมอ และหนึ่งในนั้นก็คือ น้องอ้วน เด็กชายวัย 4 ขวบ ที่แม้จะตุ้ยนุ้ยสมชื่อแต่คล่องแคล่วว่องไวและซุกซนจนพ่อแม่แทบเอาไม่อยู่ เรื่องหกล้มชนโน่นนี่มีเป็นประจำ พ่อแม่ก็ภาวนาแต่ว่า อย่าให้เกิดเหตุร้ายๆ อะไรกับลูกเลย

แต่แล้ววันนั้นก็กลับเกิดขึ้นจนได้ ทั้งๆ ที่คุณตาจูงน้องอ้วนอยู่แท้ๆ และทั้งๆ ที่เจ้าของหมาพิทบูลก็กำลังจูงหมาอย่างใกล้ชิด แต่น้องอ้วนนี่สิเพียงเห็นเจ้าพิทบูลก็ถึงกับสะบัดมือคุณตาอย่างแรง แล้วรีบวิ่งจี๋เข้าไปขยุ้มหัวเจ้าหมาอันตรายอย่างเมามัน ผลก็คือโดนพิทบูลขบเข้าให้อย่างมันเขี้ยว นี่ดีนะที่มันยังคงเป็นหมาวัยละอ่อน และเจ้าของรีบดึงรั้งเชือกจูงไว้ทัน มิฉะนั้นหนูอ้วนคงโดนมันทึ้งอย่างดูไม่จืดแน่ แต่ถึงอย่างนั้นรอยคมเขี้ยวที่มือของน้องอ้วนก็ทำให้คุณพ่อคุณแม่รีบพาน้องอ้วนบึ่งไปหาหมอทันที

คุณหมอบอกว่าหากถูกหมากัดต้องล้างแผลด้วยน้ำสะอาด น้ำประปานี่ดีที่สุดเปิดน้ำชะล้างบาดแผลมากๆ ล้างทั้งน้ำลายสุนัขและฝุ่นผงที่ติดอยู่ในแผลจะทำให้ลดโอกาสการติดเชื้อลงได้ หลังจากนั้นทารอบๆ แผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นตัวยา povidone iodine ไม่ต้องทาเข้าไปในแผล และปิดแผลด้วยผ้ากอซสะอาด หากมีเลือดไหลก็ต้องกดไว้ก่อนจึงนำส่งพบแพทย์ต่อไป แผลสุนัขกัดจะติดเชื้อเพียงร้อยละ 5 ถ้าล้างสะอาด ทำแผลให้ดีก่อน 8 ชั่วโมงหลังถูกกัด จะลดการติดเชื้อได้มาก แผลที่บริเวณน่องเป็นกล้ามเนื้อเลือดมาเลี้ยงดี ไม่มีเส้นเอ็นโผล่ออกมา เช่น ที่มือ เท้า แผลลักษณะฉีกขาดจากการกัดแล้วกระชาก ไม่เป็นรูเป็นหลุมลึก เช่น แผลเขี้ยวกัดฝัง พวกนี้จัดเป็นแผลดีติดเชื้อน้อย

ในเมื่อเจ้าหมามรณะทั้งหลายยังคงเพ่นพ่านทำร้ายผู้คนอยู่เนืองๆ เรามาทำความรู้จักกับอันตรายของเจ้าหมามหาภัยเหล่านี้กันดีกว่า
ปี พ.ศ.2522-2534 ที่สหรัฐอเมริกา มีรายงานช็อกโลกฉบับหนึ่งระบุว่า มีคนอเมริกันโดนหมากัดถึงตายเป็นจำนวนที่น่าตกใจ โดยหมาที่ฆ่าคนนั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นหมาพันธุ์ดุนั่นคือ พิทบูล 66 รายและร็อตไวเลอร์ 37 ราย ต่อมาปี พ.ศ.2535-2541 มีรายงานการตายจากร็อตไวเลอร์ 3 ราย พิทบูล 21 ราย เยอรมันเชพเพิร์ท 17 ราย

อันที่จริงแล้วหมาพันธุ์โหดเหล่านี้จัดเป็น สุนัขพันธุ์ควบคุมพิเศษ ที่หลายประเทศถึงกับห้ามนำเข้า ห้ามเพาะพันธุ์ แต่แล้วก็กลับมีการนำเข้าและเพาะพันธุ์อย่างผิดกฎหมาย สุดท้ายหลายๆ ประเทศก็หมดปัญญาจะควบคุม ทุกวันนี้หลายประเทศจึงปล่อยเลยตามเลย กลายเป็นการซื้อขายกันอย่างเสรี เพียงแต่จะต้องขอใบอนุญาตจากกรมปศุสัตว์เสียก่อน ในสหรัฐอเมริกาออกฎหมายห้ามบุคคลที่มีประวัติอาชญากรรมมีหมาพันธุ์โหดในครอบครองอย่างเด็ดขาด ในประเทศเยอรมันหลังจากเกิดกรณีร็อตไวเลอร์ขย้ำคอเด็กชายชาวเยอรมัน 6 ขวบจนตายคาเขี้ยว รัฐบาลได้ขึ้นบัญชีดำหมาร็อตไวเลอร์รวมทั้งพิทบูลให้เป็นหมาอันตราย ห้ามนำเข้าหรือเพาะพันธุ์โดยเด็ดขาด ส่วนใครที่มีในครอบครองอยู่แล้วก็จะต้องมีตะกร้อมัดปากไว้เสมอ

ส่วนในไทยเราแม้มีข่าวหมาพันธุ์ดุทำร้ายเด็กและผู้ใหญ่จนถึงตายหรือสาหัสอยู่เสมอ แต่มาตรการควบคุมและลงโทษก็ดูจะย่อหย่อนยิ่งกว่าเมืองนอกหลายเท่า แต่ที่สำคัญก็คือความดุร้ายของมันก็ไม่แพ้กัน ซึ่งนั่นหมายถึงกัดชนิดเอาตาย กัดไม่ปล่อย โดยไม่ฟังแม้แต่เจ้านาย ความเป็นหมานักสู้ผู้โหดเหี้ยมของร็อตไวเลอร์และพิทบูลทำให้ราวสิบปีก่อน เคยมีกลุ่มไฮโซใช้สถานที่หมู่บ้านย่านชานเมือง จัดเป็นบ่อนพนัน หมากัดกัน โดยหากหมาสองพันธุ์นี้ขึ้นสังเวียนเข่นฆ่ากันเมื่อไหร่ เงินเดิมพันมักจะสูงลิ่ว

เชื่อว่าผู้คนส่วนใหญ่ล้วนไม่เห็นด้วยที่ใครจะเลี้ยงหมาพันธุ์โหด ทั้งไม่เห็นความจำเป็นในการจะต้องนำมาเลี้ยง ทำให้เพื่อนร่วมสังคมเกิดความหวาดกลัวเหมือนดังมีภัยใกล้ตัว และเห็นเหมือนกันว่าหากอยากจะเลี้ยงหมาเพื่อเป็นเพื่อน หรือเพื่อดูแลบ้านเรือนก็น่าจะเลือกพันธุ์อื่นๆ ที่สั่งสอนและควบคุมกันได้ง่ายกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นหมาพันธุ์ใด ยิ่งเป็นพวกตัวโตๆ ก็น่าจะมีพื้นที่กว้างๆ ให้มันได้วิ่งออกกำลังกายทุกวัน ไม่ใช่ขังอยู่ในกรงหรือเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน เพราะนั่นจะทำให้มันเครียด ก้าวร้าว ควบคุมยาก และดุร้ายมากขึ้น

หากจะพามันออกวิ่งตามสนาม ตามถนนในหมู่บ้าน หรือตามที่สาธารณะจะต้องมั่นใจก่อนว่า บุคคลที่พาวิ่งนั้นมีความแข็งแรงพอที่จะสู้แรงของหมาได้ เพื่อไม่ให้มันวิ่งไปงับผู้อื่น แม้แต่เชือกหรือโซ่ที่ใช้จูงก็ต้องแน่ใจว่ามันเหนียวแน่นแข็งแรงเพียงพอ ในขณะเดียวกันคนที่เป็นเจ้าของหมาก็จะต้องมีเวลาให้มัน เพื่อความใกล้ชิดที่จะฝึกวินัย ที่ว่ากันว่ายิ่งหมาดุก็ยิ่งจะต้องเข้มงวดแล้วก็จะต้องถูกหลักด้วย มิเช่นนั้นจะไม่สามารถแก้ไขนิสัยอันดื้อรั้นและควบคุมยากของมันได้ แต่หากพิจารณาจากข่าวหมาทำร้ายคนที่ผ่านมา โดยมากเจ้าของมักจะปล่อยปละละเลยหรือให้การระมัดระวังไม่เพียงพอ

ส่วนการซื้อหามาไว้ในครอบครองก็จะต้องหาแหล่งขายที่มีมาตรฐาน มีใบ Pedigree หรือใบรับรองพันธุ์สุนัขที่จะระบุและรับรองสายพันธุ์ของมันว่าเป็นพันธุ์แท้โดยสมบูรณ์ เนื่องจากการผสมข้ามพันธุ์มักจะทำให้หมาที่ดุอยู่แล้วยิ่งจะดุร้ายไม่ผิดหมาป่าที่แม้แต่เจ้าของแท้ๆ ยังเสี่ยงต่อโดนมันขย้ำเขี้ยวเอาได้ ส่วนการดูแลเรื่องวัคซีนก็จะต้องพามันไปฉีดวัคซีน โดยเริ่มตั้งแต่ 6 สัปดาห์ ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันทั้ง โรคหัดหรือลำไส้อักเสบ และทำการถ่ายพยาธิป้องกันตับอักเสบ โรคไข้หัดสุนัข เลปโตสไปโรซิส และฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าด้วย
ชุมชนใดที่มีคนเลี้ยงหมาโดยเฉพาะหมาพันธุ์โหดก็คงมีแต่ความหวาดกลัวอยู่เสมอ ยิ่งเห็นมันวิ่งผ่านมา (ทั้งที่มีคนจูง) หรือเดินพบมันเข้าขณะที่กำลังจูงลูกๆ หลานๆ ก็ยิ่งเกิดความกลัวและเครียด เกิดเป็นคำถามค้างคาใจอยู่จนทุกวันนี้ว่า ...มีความจำเป็นอะไรกันหรือ...ที่จะต้องมีเจ้าพวกหมาพันธุ์โหดไว้ในครอบครอง!!

โดย : รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์

รักลูกให้ตี ดีจริงหรือ

การเลี้ยงดูเจ้าตัวเล็กอาจจะเรียกได้ว่าเป็นงานแห่งความรัก ที่ผู้เป็นพ่อแม่ต้องทุ่มเท ทั้งแรงกายแรงใจ ฟูมฟักให้ลูกรักได้รับสิ่งที่ดีที่สุด จนบางครั้งหากลูกทำสิ่งที่ผิดพลาด หรือไม่เชื่อฟัง คุณก็อาจผิดหวัง ขาดสติ จนพลั้งมือตีเจ้าตัวเล็กด้วยความโกรธ และหลังจากนั้นก็กลับมานั่งเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป และอดถามตัวเองไม่ได้ว่า เราทำถูกหรือเปล่านะ ที่ตีลูกแบบนั้น



 ก่อนจะตีต้องมีสติ

เป็นที่ถกเถียงกันมานาน และยังหาบทสรุปไม่ได้ว่าการตีลูกนั้นสมควรหรือไม่ บ้างก็ว่าไม่จำเป็น พูดดี ๆ เจ้าตัวเล็กก็น่าจะเข้าใจแล้ว แต่ถ้าพูดดีๆ แล้วลูกไม่ฟังล่ะ พ่อแม่ก็อาจมีอารมณ์โมโหขึ้นมาได้เหมือนกัน ซึ่งในกรณีนี้ สุภาษิตที่ว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี น่าจะใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น หากเพิ่มเติมอีกสักนิดว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี อย่างมีสติ เพราะหากคุณจะตีลูกสักครั้ง คุณก็ควรจะยั้งคิดก่อนว่า การตีนี้เพื่ออะไร การตีลูก ไม่ควรเป็นการระบายอารมณ์โกรธของคุณไปสู่ลูก เพราะนั่นจะเท่ากับว่าคุณกำลังทำร้ายร่างกายเจ้าตัวเล็ก หากคุณมีสติและใคร่ครวญแล้วว่าการตีเบาๆ ที่มือหรือที่แขนของลูกจะช่วยทำให้เจ้าตัวเล็กที่กำลังอาละวาดหยุดและยอมฟังเหตุผลที่คุณจะพูด การตีแบบนี้ก็อาจจะเป็นการสมเหตุสมผลมากกว่า

อย่างไรก็ตาม หากคุณยึดมั่นว่าการตีเท่านั้นที่จะหยุดยั้งพฤติกรรมไม่น่ารักของลูกได้ คุณก็ควรทบทวนความคิดอีกครั้ง เพราะโดยทั่วไปแล้ว การทำโทษลูกด้วยวิธีการตี หรือใช้กำลังนั้น จะทำให้ลูกหยุดพฤติกรรมไม่ดีได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น รวมทั้งยังเป็นการปลูกฝังความคิดว่า คนที่ตัวใหญ่กว่า สามารถใช้กำลังในการควบคุมคนที่อ่อนแอกว่าได้ ให้กับลูกด้วย ซึ่งไม่ใช่ทัศนคติที่ถูกต้องนัก



 กฎทองของการลงโทษ

การลงโทษที่ได้ผลดีที่สุดคือการลงโทษที่ไม่พร่ำเพรื่อ หากคุณลงโทษลูกแล้ว แต่พฤติกรรมไม่ดีของลูกยังคงอยู่ นั่นก็แสดงว่าการลงโทษของคุณไม่ได้ผล และคุณควรหาวิธีอื่นๆ ต่อไป เด็กๆ เรียนรู้จากความผิดพลาดเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ ฉะนั้นคุณไม่จำเป็นต้องทำโทษลูกทุกครั้งที่เขาทำผิด เก็บการลงโทษไว้สำหรับความผิดพลาดที่หนักหนา ซึ่งคุณพร่ำสอน พร่ำบอกแต่ลูกไม่ทำตามดีกว่า คุณควรเข้าใจว่า อารมณ์กราดเกรี้ยวกับการลงโทษนั้น เป็นคนละเรื่องและไม่ควรนำมาปนกัน

หากคุณโกรธลูกมากๆ คุณอาจเดินออกจากบริเวณนั้นไปสักพัก เพื่อระงับสติอารมณ์ แต่ทั้งนี้ ไม่ควรนิ่งเฉยกับลูกโดยสิ้นเชิง เพราะลูกอาจเข้าใจว่าความรักและความสนใจของคุณที่มีต่อเขานั้นเป็นสิ่งที่มีเงื่อนไข คือจะเกิดขึ้นเมื่อลูกทำตัวดีๆ เท่านั้น รวมทั้งเจ้าตัวน้อยบางคนก็อาจจะรู้สึกดีที่คุณไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว โดยไม่ได้เข้าใจให้ถูกต้องว่าตนเองทำผิดอย่างไร ดังนั้นวิธีที่ดีคือ คุณควรบอกให้ลูกรู้ว่า คุณจะไปสงบสติอารมณ์ เพราะพฤติกรรมของลูกทำให้คุณรู้สึกแย่ และคุณจะกลับมาเพื่อหาทางแก้ไขพฤติกรรมนี้ร่วมกับเขาในที่สุด



 ไม่ต้องตีก็ดีเหมือนกันนะ

แม้ว่าในบางครั้งคุณจำเป็นต้องตีเจ้าตัวเล็กบ้าง เพื่อให้ลูกหยุดโยเยและยอมฟัง แต่ทั้งนี้ การตีลูก อาจไม่ใช่วิธีการลงโทษที่ดีที่สุด คุณอาจทำโทษเจ้าตัวเล็กได้หลายทางนอกไปจากการตี ตวาด หรือขู่ให้ลูกกลัว ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ได้ผลดีก็คือ การขอเวลานอกหรือ Time-Out นั่นเอง





How to Time-Out
ตั้งเกณฑ์ให้แน่นอน 

ตัดสินใจว่าเมื่อไรที่คุณจะใช้กฎ Time-Out กับลูก เช่น เมื่อลูกเริ่มอาละวาดทำร้ายคนอื่น หรือเมื่อลูกตวาด พูดคำหยาบ เป็นต้น และควรหาบริเวณที่เหมาะสมต่อการทำโทษนี้ ซึ่งควรเป็นที่ที่ปราศจากของเล่น โทรทัศน์ และเด็กๆ วัยเดียวกัน สำหรับหนูน้อยวัยเรียน การให้นั่งที่บันไดขั้นล่างสุด หรือมุมห้องเงียบๆ ดูจะเหมาะสมที่สุด

เตือนล่วงหน้า 

คุณควรเตือนลูกก่อนเสมอ เมื่อเห็นว่าลูกเริ่มมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เพื่อให้โอกาสลูกหยุดพฤติกรรมนั้นๆ ด้วยการอธิบายสั้นๆ ว่าเขาทำผิดอย่างไร และทำไมสิ่งที่ลูกทำจึงเป็นสิ่งที่คุณยอมรับไม่ได้ และหากเขาไม่หยุด ก็ถึงเวลาต้องใช้กฎ Time-Out

ยืดหยุ่นกับระยะเวลา 

ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมเด็กแนะนำว่า ระยะเวลาการ Time-Out ควรเท่ากับอายุของลูก เช่นเด็ก 6 ขวบ ก็ควรใช้กฏ Time-Out 6 นาที อย่างไรก็ตาม หากลูกดูสงบและยอมขอโทษภายใน 2 นาทีที่โดนทำโทษ คุณก็ควรหยุดกฏ Time-Out ได้

ซ้ำเติม

หลังจากเจ้าตัวเล็กยอมขอโทษ อย่าพูดซ้ำเติมสิ่งที่ลูกทำพลาด เช่น แม่ไม่ชอบที่ลูกโยนลูกบอลใส่น้อง คุณควรเปลี่ยนเป็น ลูกอารมณ์ดีที่จะเล่นกับน้องแล้วใช่ไหม เราไปเล่นกันเถอะ จะดีกว่า


หนูเกลียดมะเขือเทศ

คุณแม่มือใหม่หรือจะมือเก๋าคงเคยเจอปัญหาลูกรักเบื่ออาหาร ถึงแม้ว่าจะสรรหาสารพัดวิธีเพื่อให้ลูกรักทานอาหารได้อิ่มในแต่ละมื้อจนหมดไอเดียแล้วก็ตาม งั้นเราลองมาหาพืชผักที่มีคุณสมบัติช่วยไม่ให้เบื่ออาหารอย่างมะเขือเทศผลแดงๆ มาปรุงเมนูอาหารให้ลูกรักกันดู เมนูนี้ทำง่ายไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด เหมาะกับลูกอายุ 5 เดือนขึ้นไป นั่นคือเมนูมะเขือเทศบดสะกดใจลูกรัก

ประโยชน์ที่ได้จากมะเขือเทศบด

มะเขือเทศมีวิตามินเอ วิตามินซี สร้างความสดชื่น ป้องกันหวัด และช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา แบคทีเรีย แก้อาการเบื่ออาหารได้ดี เหมาะสำหรับลูกน้อยที่เบื่ออาหาร เมื่อนำมาบดจะได้คุณค่าทางอาหารอย่างมาก ซึ่งสำหรับเด็กวัยเบบี้ใช้มะเขือเทศเนื้อประมาณ 1-4 ผลก็เพียงพอแล้ว ทั้งนี้ หากคุณเลือกมะเขือเทศลูกโตก็อาจจะใช้แค่ 2-3 ผลก็ได้

กระบวนการลงมือทำ

นำมะเขือเทศล้างน้ำให้สะอาด พักไว้
ตั้งน้ำให้เดือด นำมะเขือเทศลงต้มประมาณ 7 นาที และนำมาแช่น้ำเย็นหรือน้ำอุณหภูมิห้อง
นำมะเขือเทศที่ต้มแล้วมาปอกเปลือก แล้วเอาเฉพาะส่วนเนื้อของมะเขือเทศมาบดให้ละเอียด ส่วนเมล็ดให้คัดทิ้งไป
เท่านี้ก็ได้มะเขือเทศบดสะกดใจไว้สำหรับป้อนลูกรักยามเบื่ออาหารแล้วล่ะ

โภชนาการที่ได้รับ

สำหรับเด็กวัย 6 เดือนนั้นนมยังถือว่าเป็นอาหารหลักอยู่ ส่วนอาหารเสริมป้อนลูกน้อยวันละ 1 มื้อก็เพียงพอ โดยต้องเป็นอาหารบดละเอียดก่อน ทั้งนี้ เมนูมะเขือเทศบดนี้เป็นเมนูที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะเจ้าลูกแดงๆ อย่างมะเขือเทศนั้นมีวิตามินเอสูงช่วยบำรุงสายตาได้ และวิตามินซีก็มากเช่นกัน ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดได้ หรือหากอยากเพิ่มโปรตีน คาร์โบไฮเดรตให้ลูกอาจผสมมะเขือเทศบดลงในข้าวบดผสมไข่แดงบด เติมน้ำแกงจืดเล็กน้อย แต่ไม่ต้องปรุงรส ก็จะได้อีกเมนูหนึ่งไว้เป็นอาหารเสริมให้ลูกน้อย
ที่สำคัญไม่ควรให้ลูกน้อยทานเปล่าๆ เพราะรสชาติจะเข้มข้นเกินไปสำหรับเด็กอายุขนาดนี้ ควรนำไปผสมอาหารชนิดอื่นที่กล่าวมาเพื่อเพิ่มรสชาติ เพราะมะเขือเทศนั้นมีความหวานจากธรรมชาติอยู่ในตัวอยู่แล้ว

รับมือกับวัยต่อต้านอาหาร

ชุดเด็กเด็กหลวมกันลงรึเปล่าค่ะ


T.Berry Brazelton, M.D. หรือ ดร.แบรี่ บราเซลตัน ผู้เขียนหนังสือขายดีที่รู้จักกันดีเรื่อง Touchpoints (ทัชพอยต์) เป็นผู้ก่อตั้งแผนกพัฒนาการเด็กในโรงพยาบาลบอสตัน และเป็นศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ ที่แผนกการแพทย์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้กล่าวไว้ว่า ในช่วงวัย 1 ขวบ พัฒนาการการกินของเด็กจะก้าวมาถึงจุดที่ลูกจะได้เรียนรู้ว่า อาหารไม่ได้มีไว้เพียงกินอย่างเดียวเท่านั้น แต่เขายังสามารถที่จะเล่นสนุกกับของกินตรงหน้าไปพร้อมๆ กับหม่ำเข้าไปในท้องได้ด้วย เขาสามารถที่จะตักอาหารกินเอง หรืออาจจะละเลงใส่บนพื้นเพื่อความสนุกสนานก็ได้ หรือแม้แต่จะปิดปากแน่น และไม่ว่าเขาจะออกฤทธิ์ออกเดชกับการป้อนของคุณแค่ไหนก็ตาม อย่าใจอ่อนกับเขาเป็นอันขาด

ในฐานะพ่อแม่คุณจำเป็นต้องหาโอกาสเหมาะๆ ที่จะป้อนข้าวให้เขาได้กินจนอิ่ม ในช่วงเวลาที่เขากำลังสนุกสนานกับอาหารตรงหน้า เรียกว่าได้ทำหน้าที่ผู้ดูแลเรื่องอาหารการกิน โดยไม่ไปขัดขวางความสนุกสนานของเขา ซึ่งบางครั้งคุณอาจต้องมีอาหารให้ลูกไว้ตักกินเองถ้วยหนึ่ง และคุณเองก็มีถ้วยหนึ่งไว้เพื่อป้อนลูก ถึงแม้มื้อนั้นจะเลอะเทอะไปบ้าง แต่ก็ทำให้ลูกเจริญอาหารได้มากขึ้นเช่นกัน

เมื่อลูกถึงวัยต่อต้านอาหาร
เมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับการต่อต้านของลูกวัยหนึ่งขวบในมื้ออาหาร ลองทำตามแผนทางเลือกนี้ดูซิ

อย่าอยู่ใกล้ๆ เพื่อคอยป้อนอาหารให้ลูก แต่ควรให้อาหารชิ้นเล็กๆ แก่ลูกสักสองชิ้น ในขณะที่คุณก็ทำงานในครัวต่อไป (ควรมองเห็นลูกไปด้วยได้)

ปล่อยให้ลูกเลือกอาหารด้วยตัวเอง

ให้ลูกได้ลองใช้เครื่องใช้ที่คุ้นเคยและไม่แตก เด็กส่วนใหญ่จะเริ่มใช้ช้อนเป็นตอนอายุ 16 เดือน (ในประเทศญี่ปุ่นเด็กๆ เริ่มที่จะใช้ตะเกียบได้ตอน 18 เดือน! สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการลอกเลียนแบบผู้ใหญ่ และเป็นการเข้าสู่ขั้นตอนที่ยากขึ้น)

เมื่อลูกทำอาหารหล่นหมดทั้งสองชิ้น เติมให้ใหม่อีกสองชิ้น

เมื่อจะส่งอาหารให้ลูกลองทาน ให้อยู่ข้างหลังเขา ไม่ใช่ตรงหน้า

พยายามให้อาหารลูกครั้งละ 1 อย่าง เพื่อที่เขาจะได้มีสมาธิกับอาหารตรงหน้ามากขึ้น

เมื่อเขาเริ่มจะเล่นหรือเริ่มขว้างปาอาหารก็ถือว่าเป็นสัญญาณว่ามื้ออาหารนั้นควรสิ้นสุดได้แล้ว อุ้มลูกลงอย่างสงบ พูดกับลูกโดยไม่ต้องตำหนิติเตียน บอกเขาว่า เสร็จแล้วลูก

ไม่ต้องให้อาหารใดแก่ลูกเป็นพิเศษจนกว่าจะถึงมื้ออาหารว่าง สามารถช่วยเสริมในเรื่องสารอาหารแก่ลูกได้ แต่อย่าให้กินจุบจิบ เพราะการกินจุบจิบเป็นเหมือนวิธีที่พ่อแม่พยายามแอบให้ขนมลูก เมื่อเห็นว่าลูกไม่สนใจที่จะกินและนั่นก็จะทำให้ลูกไม่หิวเมื่อถึงเวลาอาหารจริง

เด็กในวัยนี้มักทำให้พ่อแม่ต้องเผชิญหน้ากับบทบาทใหม่ เมื่อพ่อหรือแม่ถามว่า ควรทำอย่างไร ถ้าเกิดอารมณ์โกรธลูก คำตอบก็จะมีแต่ว่า ไม่ต้องทำอะไร และเมื่อพ่อแม่ถามอีกว่า ควรทำอย่างไรเพื่อให้ลูกกินอาหารที่ครบถ้วน ก็ต้องตอบไปอีกครั้งว่า คุณไม่สามารถทำได้หรอก นี่อาจเป็นเรื่องที่เจ็บปวดสำหรับพ่อแม่ เพราะมันไม่ง่ายเลยที่จะปล่อยให้เป็นเช่นนั้น แต่การปล่อยให้ลูกน้อยเริ่มเรียนรู้ด้วยตัวเขาเองจะเป็นผลดีต่อตัวเขาด้วย

แก้ไขล่าสุด: 2 พ.ย. 2554

อาหารเสริมที่โฆษณาในทีวี

เด็กๆ วัยเตาะแตะบางคนดูภายนอกเหมื่อว่ามีพัฒนาการปกติดี แต่เมื่อเจาะลึกเรื่องอาหารการกินแล้ว บางคนไม่ยอมกินข้าว เนื้อสัตว์ หรือไข่เลย ชอบกินแต่ขนมปังและผลไม้ ทั้งๆ ที่ในช่วงขวบปีแรกก็เคยสามารถกินได้ดี ส่วนนมสามารถกินได้ดีไม่มีปัญหา เราจะช่วยลูกเรื่องการกินได้อย่างไรดี

เข้าใจดีในช่วงวัยเตาะแตะจะมีบางช่วงของการเติบโตเริ่มเบื่ออาหาร น้ำหนักไม่ขึ้น หรือบางช่วงวัยก็อาจจะเดินเก่ง วิ่งเก่ง ใช้พลังงานมาก กินไปไม่เหลือเก็บ ทำให้น้ำหนักจึงไม่ขึ้นแต่ส่วนสูงขึ้น ดังนั้นการปฏิเสธอาหารและเลือกอาหารเป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กวัยนี้ เพราะว่าเขาต้องการแสดงความเป็นตัวของเขาเอง แต่ถ้ากินแต่ขนมปังและผลไม้ กินข้าวกินกับนานไปอาจกระทบต่อการเติบโตได้ ถ้าอยากให้ลูกกินต้องสร้างพฤติกรรมการกินใหม่

1. เริ่มด้วยไม่ให้กินนมจากขวดตอนกลางวัน ฝึกให้กินจากถ้วย และไม่ให้กินนมหลังมื้อเที่ยงคืน ถ้าร้องกินให้กินแต่น้ำเปล่า งดน้ำที่มีสารรสหวาน

2. ให้เด็กเลือกเมนูอาหารเองถ้าเป็นไปได้ อาจจะทำเมนูอาหารมีภาพสีสันสวยงาม ลองหามาเปิดให้ลูกเลือกดู

3. เตรียมอาหารนิ่มหรือหยาบ พอกลืนได้ไม่ติดคอใส่จาน แต่งสีสันให้น่ากิน ใช้ผักแต่งทำให้มีรูปร่างที่เด็กสามารถปรับเปลี่ยนตามจินตนาการของเขาได้ เช่น รถไฟ หน้าคน ดวงอาทิตย์

4. เก็บของเล่น ปิดโทรทัศน์ สิ่งรบกวนที่สามารถเบี่ยงแบนความสนใจเสีย

5. ล้างมือให้สะอาด ให้ลูกนั่งโต๊ะอาหาร วางอาหารตรงหน้า ให้เขาตักหรือหยิบกินเอง เขาจะกิน จะเล่น ทำเลอะเทอะก็ต้องยอม ให้เวลา 30 นาที ถ้ากินได้น้อยช่วยป้อนให้หน่อย ถ้าไม่ยอมกินให้เลิก เก็บอาหารเสีย และระหว่างมื้ออาหารให้กินน้ำ เขาจะได้หิวจนกินอาหารมื้อต่อไปได้

6. สร้างบรรยากาศในแต่ละมื้ออาหารให้อบอุ่น สนุก แต่อย่าให้หัวเราะมากอาจสำลักอาหารได้

7. เด็กบางคนถ้าได้กินอาหารกับเด็กในวัยเดียวกัน อาจกินอาหารได้มากกว่ากินคนเดียว

ส่วนนมที่เสริมให้นั้น Pediasure เป็นสูตรนมที่มีกำลังงานเข้มข้นกว่านมปกติ รสหวาน ถ้าลูกกินได้น้อย สามารถให้กินเสริมมื้อก่อนนอนวันละ 2 มื้อได้ ส่วน Nutren Junior เป็นสูตรนมที่โปรตีนได้ถูกย่อยมาแล้วมีน้ำตาลเหมือนนมเด็กทั่วไป กินแล้วดูดซึมได้เลยไม่ต้องย่อย นมชนิดหลังให้กินแทนนมปกติได้ทุกมื้อ เหมาะสำหรับเด็กที่กินน้อย กินแล้วย่อยและดูดซึมได้ไม่ดี อย่างไรก็ดีเด็กวัยนี้ควรให้อาหารเด็กครบ 5 หมู่เป็นอาหารหลักและนมเป็นอาหารเสริมมากกว่า

โดย : ดร.วันดี วราวิทย์